กกต.กระตุ้นพรรคการเมืองพร้อมลงเลือกตั้ง

กกต.กระตุ้นพรรคการเมืองพร้อมลงเลือกตั้ง

"รองเลขากกต." แนะพรรคการเมืองเร่งตั้งสาขาให้ครบ 4 ภาค มีตัวแทนประจำจังหวัดครบทุกเขตเลือกตั้ง ย้ำตรวจสอบระดมทุนตามที่กฎหมายให้อำนาจ ไม่สามารถเจาะลึกถึงเจตนาบริจาค ด้านตัวแทนพรรคหวั่นทำผิด รุมซักถามยิบ

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.62 นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) เป็นประธานเปิดอบรมการส่งเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการเงินและบัญชีของพรรคการเมือง ให้กับผู้แทนพรรคการเมือง ผู้บริหาร พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเงินและบัญชีของพรรคการเมืองให้กับผู้แทนของพรรคการเมือง สาขาพรรคการเมือง และตัวแทนพรรคการเมือง ประจำจังหวัดให้เป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการกกต. กล่าวถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปต้องใช้กฎหมายพรรคการเมืองเต็มรูปแบบ ทุกพรรคต้องดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมือง โดยเฉพาะการทำไพมารีโหวต ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จัเกิดขึ้นในอีก 3 ปี 8 เดือน พรรคการเมืองจะต้องเร่งเตรียมพร้อม โดยเฉพาะเรื่องของสมาชิกพรรค ที่ผ่านมากกต.ยกเว้นให้ในกรณีที่ไม่สามารถกรอกข้อมูลร่ยชื่อสมาชิกเข้าไปในระบบฐานข้อมูลได้ทัน ก็สามารถนำหลักฐานการยื่นสมัครเป็นสมาชิกพรรคไปแสดงต่อผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัดได้ แต่ในครั้งต่อไปจะต้องยึดรายชื่อจากฐานข้อมูลสมาชิกเป็นหลัก หากมีปัญหาก็ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล

นายแสวง กล่าวถึงเรื่องการเงินของพรรคการเมืองว่า รายได้ของพรรคการเมืองจะมาจาก 1. ทุนประเดิม ที่ผู้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองบริจาค แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท 2. ผู้บริจาคที่ต้องเป็นไปตามกคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย 3. เงินค่าบำรุงพรรค ที่เรียกเก็บจากสมาชิกพรรคเท่านั้น 4. เงินขายของที่ระลึก ที่พรรคจะขายปากกา สมุด ดินสอที่ใครก็สามารถซื้อได้ นอกจากนี้เป็นเงินบำรุงและบริจาคจากเงินภาษีของประชาชน ที่ทางสำนักงานกกต.เป็นผู้ดำเนินการให้กับพรรคการเมือง อย่างไรก็ตามในการตรวจสอบเงินของพรรคการเมือง กกต.จะตรวจสอบในส่วนที่กฎหมายกำหนดแต่ทั้งนี้พรรคการเมืองจะต้องไม่หาเงินโดยแสวงหากำไร แล้วนำมาแบ่งปันกัน ไม่รับเงินต่างชาติ ซึ่งจะมีเหตุให้ถูกยุบพรรคได้

นายแสวง กล่าวด้วยว่า ขอยกตัวอย่างกรณีตรวจสอบการระดมทุนของพรรคการเมืองที่มีบริษัทเอกชนให้เงินกับพรรคการเมืองหนึ่งว่า กรณีดังกล่าวกกต.จะตรวจสอบตามขั้นตอนที่กฎหมายให้ตรวจสอบเท่านั้นจะไม่มีอำนาจไปตรวจสอบเจตนาในการบริจาค หรือราคาโต๊ะที่พรรคการเมืองตั้งไว้ขายเพื่อระดมทุน แต่การระดมทุนจะต้องไม่เกิด 10 ล้านบาทต่อราย และอย่านำเงินที่ได้มาแบ่งปันกัน เพราะการระดมทุนไม่ได้อยู่ที่ราคาแต่เราจะดูว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ส่วนเรื่องพฤติกรรมว่าข้าราชการเมืองจะใช้ตำแหน่งจูงใจให้ผู้ใดบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้พรรคหรือแหล่งที่มาสุจริตหรือไม่ กกต.ไม่มีอำนาจ

รองเลขาธิการิกกต.กล่าวอีกว่า ในส่วนของการจัดตั้งสาขาพรรค และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดที่ผ่านมามีสาขาพรรคการเมืองโดยรวมแค่ 300 กว่าสาขาจาก 86 พรรคการเมือง ที่มีสมาชิกรวมกว่า 8 แสนคน ซึ่งหาก86 พรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งครั้งต่อไป จะต้องมีสาขาครบ 4 ภาค หากจะส่งผู้สมัครครบทุกเขต จะต้องมีสมาชิก4-15 ล้านคน การหาสมาชิกและการตั้งสาขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 เดือน ดังนั้นจึงได้กำชับให้พรรคการเมืองต่างๆ เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีการร้องเรียนเกี่ยวกับพรรคการเมืองเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายได้เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองได้สอบถามถึงการดำเนินกิจกรรมของพรรค พบว่าพรรคการเมืองได้สอบถามในกรณีการบริจาค และการซื้อสินค้าที่ระลึกชองพรรคการเมือง ว่าในกรณีสามีหรือภรรยาเป็นชาวต่างชาติ สามารถบริจาคได้หรือไม่ กรณีบุคคลที่ 3 มาซื้อสินค้าที่ระลึกของพรรคไปเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปขายต่อทำได้หรือไม่ รวมทั้งกรณียุบตัวแทนประจำจังหวัดที่มีจำนวนมากแล้วตั้งเป็นสาขาพรรคทำได้หรือไม่ ขณะที่หัวหน้าพรรคเพื่อนไทยเรียกร้องให้กกต.เป็นเจ้าภาพเสนอแก้ไขกฎหมายในการเลือกตั้ง เพราะเห็นได้จากปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นหากไม่แก้ไขจะทำให้พรรคการเมืองเดินต่อไปไม่ได้