Energy Sector - Neutral

Energy Sector - Neutral

การกลับมาของโรงกลั่น

Event

กลยุทธ์กลุ่มพลังงานใน 2H62

Impact

มองบวกน้อยลงกับแนวโน้มราคานํ้ามันดิบใน 2H62

เรายังคงใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้ที่ US$67/bbl และปีหน้าที่ US$65/bbl แต่เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบใน 2H62 จะถูกกดดันจากการที่สหรัฐเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเนื่องจากมีท่อส่งน้ำมันใหม่ซึ่งจะทำให้สามารถลำเลียงน้ำมันที่ผลิตบนฝั่งออกไปยังอ่าวเม็กซิโกเพื่อส่งออกได้ โดยมีการคาดว่าท่อส่งน้ำมัน EPIC ขนาด 400KBD และ Cactus II ขนาด 670KBD ได้มีการเริ่มทดสอบเติมน้ำมันดิบเข้าไปในท่อ (linefill) ในปลายเดือนมิถุนายน และต้นเดือนกรกฎาคมตามลำดับ ซึ่งหมายความว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ใน 3Q62 ซึ่งเราประเมินว่าจะทำให้ผลผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 13.0MBD ภายในปีนี้ จากปัจจุบันที่ 12.1MBD สอดคล้องกับรายงานของ Energy Information
Administration (EIA) ฉบับเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเฉลี่ยจะอยู่ที่ 12.5MBD ในปีนี้ และ 13.4MBD ในปีหน้า ในขณะเดียวกันเรามองเฉยๆ กับการที่กลุ่ม OPEC+บรรลุข้อตกลงขยายระยะเวลาการลดอุปทานลง 1.2MBD ออกไปอีก 9 เดือน

มองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นใน 2H62

เราเชื่อว่า GRM ในตลาดสิงคโปร์ที่ US$3.05/bbl ใน 2Q62 เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้แล้ว เนื่องจากอุปทานน้ำมันเบนซินอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะจากสหรัฐ และเป็นช่วงที่อุปสงค์น้ำมันดีเซลต่ำตามฤดูกาล โดยเราคาดว่าค่าการกลั่นของไทยจะฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 2H62 จากนโยบายของ IMO ที่จะลดส่วนผสมของกำมะถันในน้ำมันเตาลงจาก 3.5% เหลือ 0.5% ในวันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นก่อนที่นโยบายจะมีผลบังคับใช้ และหนุนให้ spread ของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราคาดว่า spread ของน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นจาก US$12.6/bbl ใน 1H62 เป็น US$16.0/bbl ใน2H62 และ US$20.0/bbl ในปี 2563 นอกจากนี้ เราคาดว่า spread ของน้ำมันเบนซินก็จะฟื้นตัวขึ้นจาก US$5.6/bbl ใน 1H62 เป็น US$10.0/bbl ใน 2H62 และ US$11.0/bbl ในปี 2563 เนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้นจากการที่สหรัฐเข้าสู่ driving season ในเดือนกรกฎาคม และเรายังคาดว่าอุปทานน้ำมันเบนซินจากสหรัฐจะลดลงถ้าหากเริ่มมีการใช้งานท่อส่งน้ำมันดิบ EPIC และ Cactus II เพราะโรงกลั่นสหรัฐจะลดอัตราการกลั่นลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ spread น้ำมันเบนซิน หลังจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI หดแคบลงเหลือประมาณ US$6/bbl จาก US$10/bbl ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับในระยะสั้น ตลาดโรงกลั่นได้แรงหนุนจากการที่โรงกลั่นของ Philadelphia Energy Solutions ซึ่งมีขนาด 335KBD และคิดเป็น1.8% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดของสหรัฐ ถูกปิดเนื่องจากเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้

แนวโน้มสาย olefins และ aromatics ยังเป็นลบใน 2H62

เรายังเชื่อว่า spread ของ PE จะค่อยๆ ลดลงทุกไตรมาสในปีนี้ โดยอาจลดลงไปจนต่ำกว่า US$500/ton ก็ได้เนื่องจากตลาด PE ถูกกดดันจากการเปิดโรงงาน PE ขนาดใหญ่ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมถึง 4.3MTA ในปี 2562 (+4% YoY) และ 6.8MTA ในปี 2563 (+6% YoY) ดังนั้นเราจึงยังคงสมมติฐาน spread ของ HDPE/LLDPE/LDPE ปีนี้เอาไว้ที่ US$530/500/500/ton และปีหน้าที่ US$504/475/475/ton ในขณะเดียวกันตลาด aromatics ในเอเซียแปซิฟิกและตะวันออกกลางก็ถูกกดดันจากกำลังการผลิต PX
ใหม่ที่เพิ่มขึ้นอีก 5.3MTA (+12% YoY) ในปี 2562 และ 6.6MTA (+13% YoY) ในปี 2563 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุปสงค์ที่ 1.5MTA ถึง 3-4 เท่า โดยจะมีโรงงาน aromatics ขนาดใหญ่ถึงสี่โรงกำลังการผลิต PX รวม 4.65MTA ที่จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ใน 2H62 ได้แก่ Hainan กำลังการผลิต 0.8MTA, Hongrun กำลังการผลิต 0.8MTA, Zhejiang กำลังการผลิต 0.8MTA, และ Heng Li II กำลังการผลิต 2.25MTA ดังนั้นเราจึงยังคงสมมติฐาน spread ของ PX-over-condensate ปีนี้เอาไว้ที่ US$370/ton และปีหน้าที่ US$352/ton และ spread ของ BZ-over-condensate ปีนี้ไว้ที่ US$50/ton และปีหน้าที่ US$100/ton

Valuation and action

ถอด PTTEP และ IVL ออกจากรายการหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน

เนื่องจากเรามองบวกน้อยลงกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบใน 2H62 เราจึงถอด PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* ออกจากรายการหุ้นเด่นของเราเพราะราคาหุ้นขยับขึ้นมาแล้วและเหลือ upside ถึงราคาเป้าหมายของเราอีกแค่ 8% เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำซื้อ และแนะนำให้นักลงทุน let profit run เพราะเราคาดว่าผลประกอบการของบริษัทใน 2Q62 น่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยังมีข่าวดีจากการปิดดีลเข้าซื้อสินทรัพย์ของ Murphy ในเดือนกรกฎาคมอีกด้วย นอกจากนี้ เรายังถอด Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* ออกจากรายการหุ้นเด่นของเราเนื่องจากตลาด polyester ได้ผ่านช่วงที่อุปสงค์สูงตามฤดูกาลไปแล้วในไตรมาสที่สอง ยิ่งไปกว่านั้น เรายังเป็นห่วงว่าจะมีการเปิดโรงงาน PTA ใหม่ที่มีกำลังการผลิตรวมถึง 7.2MTA ในปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 4.1MTA ในปี 2562 ซึ่งส่วนใหญ่มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ใน 1Q63

เราเลือก TOP และ IRPC เป็ นหุ้นเด่นตัวใหม่ในกลุ่มพลังงาน

เนื่องจากเรามองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นใน 2H62 เราจึงเพิ่ม Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงงานของเรา ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีกำหนดปิ ดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเป็นเวลา 45 วันในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม แต่เรามองว่าบริษัทจะเป็นหนึ่งในกิจการที่ได้อานิสงส์มากที่สุดเมื่อตลาดโรงกลั่นฟื้นตัวขึ้นเพราะเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการกลั่นสูงถึง 275KBD และบริษัทมีกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 60% ของ EBITDA รวมทั้งหมด  นอกจากนี้ เรายังเลือก IRPC (IRPC.BK/IRPC TB)* เป็นอีกหนึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน เพราะเราเชื่อว่าบริษัทจะได้อานิสงส์มากที่สุดในบรรดาโรงกลั่นในประเทศเมื่อนโยบายของ IMO มีผลบังคับใช้ในปี
2563 เนื่องจากเป็นโรงกลั่นในประเทศเพียงแห่งเดียวที่มี Hyvahl unit ซึ่งทำให้สามารถผลิตน้ำมันเตาที่มส่วนผสมของกำมะถันแค่ 0.5% ได้ ซึ่งหมายความว่า IRPC จะได้อานิสงส์จากทั้ง spread ที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่มีส่วนผสมของกามํะถันํต ่ า ในขณะที่โรงกลั่นแห่งอื่ นๆ จะถูกกระทบ spread ที่ลดลงของน้ำมันเตาที่มีส่วนผสมของกำมะถันสูง เมื่อนโยบายของ IMO มีผลบังคับใช้

ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ แต่ยังคงคำแนะนำถือ BCP, PTTGC, SPRC, PTT, และ BANPU

ถึงแม้ว่าเราจะมองบวกกับแนวโน้มโรงกลั่นใน 2H62 แต่เราไม่ได้ชอบโรงกลั่นในประเทศอีกสี่แห่งที่เหลือเพราะมีแผนปิดซ่อมบำรุงใน 2H62 โดย Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* จะปิด 30 วันในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม (เพื่อซ่อมบำรุง hydrocracking unit), ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSOTB)* จะปิด 60 วันในเดือนกันยายน-ตุลาคม, PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC TB)* จะปิด 54 วันในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน, และ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* จะปิด 45 วันในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ในขณะเดียวกันเรายังคงคำแนะนำถือ PTT (PTT.BK/PTT TB)* เนื่องจากยังรอการยืนไฟลิ่งเพื่อนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนใน SET ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนราคาหุ้น PTT สำหรับ Banpu (BANPU.BK/BANPU TB)* เรามองว่าแนวโน้มถ่านหินยังไม่สดใสต่อเนื่องจากจีนยังคงคุมเข้มการนำเข้าถ่านหิน โดยดัชนีราคาถ่านหินอ้างอิง Newcastle Export Index (NEX) ยังคงลดลง 17% QoQ เหลือ US$80/ton ใน 2Q62 ในขณะที่ราคาถ่านหินในปัจจุบันก็ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่เก้ามาอยู่ที่ US$70/ton