'ธนาธร' แจงตึงเครียดนาน 4 ชม.เล็งใช้ม.157ฟ้องกลับกกต.

'ธนาธร' แจงตึงเครียดนาน 4 ชม.เล็งใช้ม.157ฟ้องกลับกกต.

"ธนาธร" แจงตึงเครียดนาน 4 ชม.เล็งใช้ม.157 ฟ้องกลับกกต. ใช้อำนาจไม่ชอบ มั่นใจถูกการเมืองเล่นงาน ขู่เช็คบิล "คสช." หลังหมดอำนาจ

เมื่อวันที่ 30 เม.ย.62 เวลา 17.30 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค กล่าวภายหลังเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากรณีถือหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดีย จำกัด อาจเข้าลักษณะขาดคุณสมบัติในการลงสมัครส.ส. นานกว่า 4 ชั่วโมงต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของสำนักงานกกต.

นายธนาธร กล่าวว่า บรรยากาศการชี้แจงส่วนใหญ่ตึงเครียด บางช่วงผ่อนคลาย ส่วนตัวหลังจากที่ได้ชี้แจงมีความรู้สึกว่า คดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองมากเพราะแม้แต่คำถามพื้นฐานง่าย ๆ ที่ถามกับคณะกรรมการฯว่าเราผิดตรงไหน เพราะได้ทำเอกสารชี้แจงไปแล้ว มีตรงไหนที่กกต. ไม่เชื่อหรือเห็นว่าพวกเรากระทำผิด คำถามง่ายๆ แค่นี้ แต่คณะกรรมการฯไม่สามารถตอบหรือชี้แจงกับเราได้ ทำให้การชี้แจงไม่ใช่เป็นการถามเรื่องเหตุการณ์ แต่เถียงกันเรื่องหลักการ ว่าตนผิดตรงไหนเอกสารตรงไหนผิด หรือหลักฐานชิ้นใดทำให้ไม่น่าเชื่อว่าการโอนหุ้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 62 ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้เลย ทำให้ตนเชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า ตนเอาหลักฐานมาวางหมดแล้ว ก็ควรเอาไปถามคนที่ไม่เชื่อว่าจะเอาหลักฐานอะไรมาหักล้างหลักฐานของตน และเห็นว่าไม่มีใครโต้แย้งหลักฐานที่ตนนำมาแสดงได้เลย ก็ต้องถือว่าตนไม่ผิดจริง ๆ แล้วจะมาเรียกร้องอะไรอีก วันนี้ไม่มีคนบอกว่าธนาธรผิด มีแต่คนตั้งคำถามแล้วเอาไปปั่นซ้ำ จนสังคมเชื่อว่าธนาธรผิดจริง ถ้าจะทำอะไรก็เอาหลักฐานมาคุยกัน

“เรื่องที่ทำให้ผมอารมณ์เสียมาก คือ1 ปีของการทำพรรคอนาคตใหม่ ผมและแกนนำพรรคโดนไปแล้ว 16 คดี สองสัปดาห์ที่ผ่านมาคสช.ใช้อำนาจตามม.44 ช่วยกลุ่มทุนโทรคมนาคมเอื้อประโยชน์ให้หลายหมื่นล้าน และมีคำสั่งผ่านพ.ร.บ.ท้องถิ่น ที่จะดึงอำนาจจากท้องถิ่นกลับมาส่วนกลาง แทนที่ผมจะเอาเวลาไปปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่กลับต้องเอาเวลามาแก้คดี นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจ และ ถ้าจะทำกันอย่างนี้ต่อไปก็ต้องบอกว่า ผมมีรายชื่อว่าที่ส.ส.พรรคอื่น ไม่น้อยกว่า 30 คนที่มีคดีหุ้นเหมือนกัน ผมจะเอาเรื่องนี้มาฟ้องบ้าง และฟ้องกลับบ้าง หลายกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เอาเรื่องเท็จมาฟ้อง ซึ่งผิดกฎหมาย จนถึงวันนี้เรายังไม่ฟ้องกลับ และมีหลักฐานว่ามีสื่อมวลชนหลายสำนักเอาข้อความที่เป็นเท็จมาเผยแพร่ทำให้เกิดความเสียหายกับผมและพรรค ก็ต้องบอกว่าความอดทนคนมีจำกัด ที่ผ่านมาเราไม่อยากจะเดินไปถึงจุดนั้น พยายามอดทน อดกลั้นต่อสู้ในแนวทางสันติ แต่ช่องว่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกับเส้นของความอดทนมันใกล้กันเต็มที ช่องว่างนี้กำลังจะหมดไป วันหนึ่งคงต้องใช้วิธีกฎหมายโต้กลับบ้าง และถึงเวลานั้นก็จะไม่มีใครมีเวลาไปบริหารประเทศ ทั้งประเทศไทยผู้มีอำนาจก็จะต้องใช้เวลามาแก้ตัว “นายธนาธรกล่าว

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า ตนขอสงวนสิทธิในการปกป้องชื่อเสียงของตนเอง ถ้าใครพิจารณาคดีความของตนแล้วทำให้เกิดความเสื่อมเสียก็จะใช้สิทธิดำเนินการทางกฎหมายตอบโต้ แต่ตนเป็นคนใจเย็น จะรอจนคสช.หมดอำนาจ เพราะมาตรา 157 มีอายุความ 15 ปี คสช.อยู่ในช่วงขาลงไม่มีทางครองอำนาจต่อไปได้เรื่อย ๆ ตนจะรอให้คสช.หมดอำนาจแล้วดำเนินดคีกับคนที่ตัดสินตนโดยไม่ใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า วันนี้อยู่ในขั้นตอนการไต่สวน โดยมีพ.ต.ท.ปรีชา นาเมืองรักษ์ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนฯ เมื่อสอบสวนเสร็จก็จะเสนอกกต.พิจารณาวินิจฉัยต่อไป ซึ่งยื่นหลักฐานไปทั้งหมด 26 รายการ คำชี้แจงครบถ้วนทั้งหมด ขณะที่ข้อกล่าวหามีแค่ 3-4 บรรทัด จึงไม่ได้ชี้แจงมากเท่าไร แต่เป็นการพูดคุยตั้งคำถามถึงการทำงานของกกต. ว่าทำไมจึงมติแจ้งข้อกล่าวหาโดยที่นายธนาธรยังไม่ได้ชี้แจง โดยนายปรีชา เล่าให้ฟังว่า กกต.มีข้อสงสัยว่า ตรวจสอบจาก บอจ.5 แล้วมีชื่อนายธนาธรอยู่ จึงสงสัยว่าเป็นผู้ถือหุ้น ตนจึงถามกลับไปว่า ตรวจสอบวันไหน ลงวันที่เท่าไร พอตรวจสอบแล้วรู้ทันทีเลยหรือว่านายธนาธรถือหุ้น และทำไมกกต.ไม่ไปเปิดกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง วรรคสามที่มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา และแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และถ้ายังสงสัยถือหุ้นจริงหรือทำไมไม่เรียกนายธนาธรไปสอบถาม แต่กลับมีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งผิดหลักการกฎหมาย

“การแจ้งข้อกล่าวหาจะทำลอย ๆ ไม่ได้ ต้องมีองค์ประกอบความผิดและข้อเท็จจริงชัดเจน ไม่ใช่ผู้ร้องกล่าวหาอะไรมา กรรมการฯต้องดูว่ามีหลักฐานหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ต้องตกไป แต่นี่กลายเป็นว่าให้ผู้ถูกร้องมานั่งตอบเหมือนเอานายธนาธรมาดำน้ำ ลุยไฟ ถ้าผ่านไปได้ถึงจะเป็นบริสุทธิ์ ดังนั้นนายธนาธรในฐานะผู้เสียหายเราจะขอสงวนสิทธิในการดำเนินการตามกฎหมายต่อกกต.ต่อไป ทั้งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.ป.ว่าด้วยกกต. ที่กำหนดโทษไว้ว่าถ้ากกต.ใช้อำนาจมิชอบด้วยกฎหมายมีโทษอาญา จำคุก โทษปรับและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งด้วย ต้องขอสงวนสิทธิไว้เพราะมีปัญหาจริงๆ กับการตั้งข้อกล่าวหา”นายปิยะบุตรกล่าว

นายปิยะบุตร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กกต.ส่งเอกสารหนึ่งฉบับไปที่บ้านนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดานายธนาธร ในฐานะผู้รับโอนหุ้น วันที่ 22 เม.ย.ถึงบ้านเวลา 13.45น. แต่ในหนังสือกลับให้มาชี้แจงในเวลา 10.30 ของวันเดียวกันซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาชี้แจง แล้ววันที่ 23 เม.ย.เช้ากกต.ก็มีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที หมายความว่า การแจ้งกล่าวหาพิจารณาเพียงคำร้องซึ่งก็มีแค่ 3-4 บรรทัด แล้วถ้าตรวจจากบอจ.5 โดยตีขลุมว่ามีชื่อก็แสดงว่ายังถือหุ้น ท่านวินิจฉัยผิด ถ้าจงใจวินิจฉัยผิดนั่นแสดงว่าใช้อำนาจโดยไม่ชอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ สมมุติถ้าเรื่องนี้บานปลายมีการสั่งแขวนชื่อนายธนาธร หรือให้ใบส้ม ซึ่งไม่มีอำนาจอยู่แล้ว ถ้าจะเอากันถึงขนาดนั้นก็แสดงว่าการตั้งข้อกล่าวหาโดยใช้ดุลยพินิจไม่ชอบ ส่งผลเสียหายร้ายแรงกกต.ทั้ง 7 คนจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่ากลัวแรงกดดัน ความยุติธรรมและกฎหมายจะคุ้มครองท่านเอง แต่กกต.ต้องอยู่อีกนาน คสช.เดี๋ยวก็ไป

ทั้งนี้ นายปิยบุตร ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ไปโพสต์สิ่งที่ได้มาชี้แจงพร้อมแสดงหลักฐานทั้งหมดลงในเพจของพรรคอนาคตใหม่ต่อไป