พปชร.จับมือ ทุกภาคส่วน จัดเสวนาแก้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่า

พปชร.จับมือ ทุกภาคส่วน จัดเสวนาแก้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่า

"พปชร." จับมือ นักวิชาการ เอกชน ภาคประชาสังคม จัดเสวนา แนวทางแก้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่า ยันเดินหน้าแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว

เมื่อวันที่ 9 เม.ย.62 นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพปชร. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพปชร. และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพปชร. ได้ร่วมกันหารือถึงทางออกเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน pm 2.5 ร่วมกับภาคเอกชนและประชาสังคม โดยจัดให้มีการเสวนาในหัวข้อ "แนวทางแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน pm 2.5" ขึ้นมา ณ ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ

โดยมีนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวเปิดการเสวนาว่า ขอขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาหารือร่วมกันในวันนี้ เรื่องของฝุ่น pm2.5 เป็นเรื่องหนึ่งที่พรรคของเราให้ความสำคัญอย่างยิ่งตั้งแต่ตอนเราเริ่มลงสนามหาเสียงเลือกตั้ง เราก็ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นวาระระดับชาติ ที่เชียงใหม่กำลังประสบปัญหาอย่างรุนแรง แต่จริงๆแล้วในกรุงเทพฯเองปัญหาก็มี และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งหากปล่อยไปก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐในฐานะพรรคการเมือง ยืนยันจะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายที่พรรคได้ประกาศไว้อย่างจริงจัง เพราะเรามีทีมงานของพรรคที่ศึกษาหาข้อมูล มีประสบการณ์ ดังนั้นจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะในฐานะฝ่ายการเมืองต้องยึดโยงกับประชาชนเสมอ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็นำเสนอไปยังภาครัฐ เพราะเป็นปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซับซ้อนและต้องดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน พรรคพลังประชารัฐจึงขอเป็นหนึ่งในผู้ที่จะมีส่วนรวบรวมและกระตุ้นความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยไม่รอว่าจะต้องเป็นรัฐบาล

"ตนขอเรียนว่าในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ หน้าที่ของเราในฐานะพรรคการเมือง เราจะเดินหน้าในห้วงเวลานี้หลังจากเลือกตั้งเสร็จแล้ว ในการที่จะขับเคลื่อนนโยบายที่พรรคได้ประกาศไปแล้วในพื้นที่ต่างๆ ในการที่จะดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องฝุ่น pm 2.5 ก็เป็นเรื่องหนึ่ง"

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะสั้นคือทำอย่างไรให้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่าของ จ.เชียงใหม่ และภาคเหนือตอนบนเบาบางลง และไม่เกิดขึ้นอีก ต้องนำอากาศที่ดีกลับสู่พี่น้องประชาชน ซึ่งเมื่อวานได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งช่วยดูแลเรื่องไฟป่าและการทำฝนเทียมแล้ว แต่ค่อนข้างที่จะมีอุปสรรคจากสภาพอากาศ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนจะได้มาแลกเปลี่ยนและหาทางออกร่วมกันในวันนี้

ก่อนจะเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากภาคเอกชนและประชาสังคมเสนอข้อคิดเห็น โดยนายวีระวิทย์ แสงจักร ตัวแทนผู้ประสบภัย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ ต้องอยู่กับฝุ่นควันพิษมานานกว่า 2 เดือน คนในพื้นที่ทุกข์ทรมาน มีโรคภัยตามมา จึงต้องการให้พรรคพลังประชารัฐนำปัญหาตรงนี้ เสนอต่อรัฐบาลให้ลงมาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา โดยเร่งยกระดับความเดือดร้อนของชาวภาคเหนือตอนบนทุกจังหวัด ให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องของสุขอนามัย เพราะ ไม่มีหน่วยงานด้านสาธารณสุขเหล่านี้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ มีเพียงอาสาสมัครในพื้นที่ 30 องค์กรที่ลงขันกันผลิตเครื่องฟอกอากาศ แจกหน้ากากอนามัย ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นอยากให้เกิดการบูรณาการอย่างถาวร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

นายวีระชัย เจือสันติกุลชัย กลุ่ม Clean Ari For All กล่าวว่า ฝุ่นที่ จ.เชียงใหม่ ร้ายแรงเท่ากับการสูบบุหรี่ 18 มวน ดังนั้นในระยะเร่งด่วนอยากให้ภาครัฐ เอกชน สื่อ ช่วยกันยกระดับการตระหนักรู้ต่อประชาชน ถึงพิษภัยของฝุ่นควันไฟป่า ควบคู่กับมาตรการ การแก้ปัญหาในระยะยาว

ด้านนายรุจิพัฒน์ สุวรรณสัย กลุ่มล่ามช้าง กล่าวว่า ปัญหาต้นเหตุทางภาคเหนือไม่ได้มีปัญหาหลักจาอุตสาหกรรมและเผาไหม้รถยนต์ แต่เป็นการเผาไหม้ในพื้นที่ เพราะหากดูจากจุดฮอตสปอตกว่า 80% เกิดในพื้นที่ป่าและไม่ใช่ไฟป่าที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งมีแรงจูงใจแม้รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี นั่นคือชาวบ้านไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน จึงคิดว่าการเผาเพื่อเก็บของป่าขายเป็นการหารายได้

นอกจากนี้ มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด เริ่มมา 4-5 ปี หากเอากฎหมายมาวางจะสามารถคุมทั้งจังหวัดได้ แต่ท้ายสุดแล้วไม่สามารถคุยกับประชาชนได้ และเกณฑ์การใช้มีความย่อหย่อนมาตลอด ช่วงมีปัญหาหนักอยู่ระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน จากผลสำรวจตั้งแต่ปี 2014 – 2018 ซึ่งค่า PM 10 จะเกินค่าเพียงไม่กี่วัน แต่ PM 2.5 เกิดขึ้นทุกวัน และจะหายไปต่อเมื่อฝนตก และอีก 20% เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวซึ่งมีพันธะสัญญาว่า ปลูกเท่าไหร่รับซื้อหมด เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็เผา

“บ้านเราก็ทำ พม่าก็ทำ ลาวก็ทำ เมื่อลมมา จึงพัดมายังประเทศไทย ถือเป็นการรับอิทธิพลข้ามแดน เมื่อชาวบ้านไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีทางเลือก จึงต้องทำเช่นนั้น ดังนั้น ต้องหาแนวทางให้คนที่อยู่รอบๆป่ามีทางเลือก และมีองค์ความรู้ ถ้าหากเราเผาด้วยจะหนักเป็น 60 เท่า จากโมเดลที่ทำกัน ต้องหาสาเหตุว่าปัญหามาจากอะไรบ้าง แต่งบวิจัยไม่พอ เพราะ 90% เป็นงบประมาณใช้ดับไฟ ดังนั้น หากสร้างชุดคณะทำงานขึ้นมา ต้องเน้นการมีส่วนร่วม มากกว่าจะเป็นการทำงานแบบซุปเปอร์แมน และจะทำให้จังหวัดเชียงใหม่กลับมาน่าท่องเที่ยวเหมือนเดิม”

ซึ่งภายหลังการเสวนาที่นานกว่าสองชั่วโมงทางด้านของนายสนธิรัตน์ ตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้สนอถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยสรุปว่า จะใช้โอกาสนี้ในการผลักดันปัญหาเรื่องของฝุ่นควัน pm 2.5 ให้เป็นวาระระดับชาติ พร้อมยกระดับการตระหนักรู้ในเรื่องดังกล่าวให้กับประชาชนได้รับทราบ เนื่องจากประชาชนส่วนมากยังคงขาดความรู้ในเรื่องนี้ เพราะคนไทยส่วนมากต่างก็เพิ่งรู้จักเรื่องฝุ่นควัน pm 2.5 กันในปีนี้ จึงเสนอให้ยึด เรื่องประเด็นของ pm 2.5 เป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นควัน เพื่อผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงเดินหน้าการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เกิดขึ้น ก่อนประกาศร่วมกันขับเคลื่อนทำเรื่องนี้ให้ใหญ่ขึ้น กับตัวแทนทุกภาคส่วนที่มาเข้าร่วมในวันนี้ โดยพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบหมายให้ นายกอบศักดิ์ โฆษกพรรค เป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้เป็นแม่งานในการแก้ปัญหา ซึ่งจะตั้งคณะทำงานของพรรค รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และบุคคลในพื้นที่ให้เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหา พร้อมทำกิจกรรม อินดอร์ เอาท์ดอร์ แก้ไขปัญหาฝุ่นทั้งใน และนอกอาคารที่อยู่อาศัยตามสมควร

ทั้งนี้ "ส่วนที่จะต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐ ในเบื้องต้นตนจะโทรศัพท์ไปประสานงานกับรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ หากเรื่องใดมีความชัดเจนในแนวทางการแก้ไขแล้ว ตนจะนำไปเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป และหากเราได้เป็นรัฐบาลก็จะเดินหน้าแก้ปัญหาทันที พร้อมติงอย่าโลกสวย ว่าจะผลักดันได้ในทันที แต่เชื่อว่าอย่างน้อยการกระทำงานร่วมกันที่จะเกิดขึ้นจะช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาฝุ่นควันที่เพิ่มขึ้นแน่นอนถ้าช่วยกัน" นายสนธิรัตน์ ระบุ