SCC - ซื้อ

SCC - ซื้อ

โตท่ามกลางขอบฟ้ามืดครึ้ม

ผู้บริหารยังคงระมัดระวังสำหรับแนวโน้มในปี 2562 แม้ว่าธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างและธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรมากที่สุดยังคงมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า SCC ยังสามารถสร้างการเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนได้ จากกลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มการเติบโตอ ย่างยั่งยืน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 3.8% ยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

สรุปผลประกอบการไตรมาส 4/61

SCC รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4/61 ที่ 10.5 พันล้านบาท ลดลง 16.7% YoY แต่เติบโต 10.5% QoQ โดยสูงกว่าการประมาณการของเรา 27% โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากรายได้จากเงินปันผลจากโตโยต้าที่สูงกว่าคาดราว 1.5 พันล้านบาทเทียบกับการประมาณการของเราที่ 0.7 พันล้านบาท ในขณะที่กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์สูงกว่าที่เราประมาณการไว้เล็กน้อย กำไรสุทธิที่ลดลง YoY มาจากการลดลงของกำไรของธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งเป็นผลมาจากผลขาดทุนจากสินค้าคงคลังจานวน2.2 พันล้านบาท และส่วนต่างราคาปรับตัวลดลง ในขณะที่กำไรสุทธิเติบโตQoQ เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นตามปัจจัยทางฤดูกาลของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างและรายได้จากเงินปันผล

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามองของ SCC ในปี 2562

SCC ยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวัง ผู้บริหารกล่าวถึง 4 ปัจจัยสำคัญที่ท้าทายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ SCC ในปี 2562 ได้แก่ 1)ความผันผวนของราคาพลังงาน (โดยเฉพาะแนฟทาและถ่านหิน) จะส่งผลต่อต้นทุน 2) ความไม่แน่นอนของอุปสงค์จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า 3) ความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งจะทำให้กำไรหายไป 1.2 พันล้านบาท สำหรับทุกๆ 1 บาทที่เงินแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และ 4) การฟื้นตัวในประเทศอาจจะไม่ต่อเนื่องจนถึงในช่วงครึ่งหลังปี 2562 นอกจากนี้ผลประกอบการไตรมาส 1/62 จะได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรอง 2 พันล้านบาท ตามพรบ.คุ้มครองแรงงานไทยฉบับใหม่ โดยพนักงานที่มีอายุการทำงานมากกว่า 20 ปีจะได้รับเงินชดเชย 400 วัน จากเดิม 300 วัน เมื่อเกษียณอายุ

ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างและธุรกิจบรรจุภัณฑ์หนุนการเติบโต

ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างและธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะเป็นปัจจัยหนุนหลักสำหรับการเติบโตในปีนี้ SCC คาดว่าอุปสงค์ของซีเมนต์ในประเทศจะเติบโต 3-4% ในปี 2562 สูงขึ้นเล็กน้อยกว่าในปี 2561 ที่ 3% และอุปสงค์ผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านและเซรามิคคาดว่ามีแนวโน้มเช่นเดียวกัน ต้นทุนอาจจะปรับสูงขึ้นแต่ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญที่น่ากังวล เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการปรับราคาสินค้าและยังสามารถลดต้นทุนในส่วนต่างๆได้พอสมควร สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ อุปสงค์อยู่ในระดับดีทั้งในประเทศไทยและอาเซียน ในขณะที่อัตรากำไรมีแนวโน้มสูงขึ้นจากกลยุทธ์การเป็นผู้พัฒนาบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร

ความไม่แน่นอนจากธุรกิจปิโตรเคมี

ผู้บริหารดูเหมือนมีความกังวลในด้านอุปสงค์มากกว่าด้านอุปทาน เนื่องจากอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้อยู่แล้ว แต่อุปสงค์มีความไม่แน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มชะลอตัวและปัจจัยทางด้านการเมืองโลกจะส่งผลให้ความผันผวนของราคาและส่วนต่างราคาปรับตัวสูงขึ้น