อาจเรียกได้ว่า ตลาดการเมืองกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่วานนี้ (11 ธ.ค.) "บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกคำสั่งม.44 ปลดล็อกพรรคการเมืองทำกิจกรรม
000 นั่นหมายความว่า หลังจากนี้ทุกพรรคสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระโดยที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากทางคสช. ดังนั้นสิ่งที่จะต้องติดตามหลังจากนี้คือ การชูนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งที่จะมาถึงว่าแต่ละพรรคจะเลือกใช้นโยบายใดเพื่อ “ซื้อใจ” ประชาชนในการลงคะแนนสนับสนุนให้พวกเขาเหล่านั้นมีโควตาที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร
000 โดยเฉพาะพรรค “พลังประชารัฐ(พปชร.)” ที่แม้จะเป็นพรรคน้องใหม่ แต่หากดูจากการเดินสายดูด “อดีตส.ส.” และ “นักการเมือง” จาก “ค่ายใหญ่-ค่ายดัง” หลายๆค่าย พร้อมชูแคนดิเดตนายกฯชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพื่อมาชิง “ความนิยม” จากประชาชน จึงไม่แปลกที่พรรคจะถูกจับตาเป็นพิเศษ และถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่อันตรายในสนามการเมืองในครั้งนี้
000 โดยเฉพาะนโยบาย “ซื้อใจคนจน” อย่าง “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่แม้ว่า “บิ๊กตู่” และ “คนในรัฐบาล” จะออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่ได้หวังผลเพื่อหาเสียง” ให้กับพรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า จะไม่ใช้นโยบายดังกล่าวหาเสียง
000 เพราะการประชุมเพื่อทำความเข้าใจให้แก่ “ว่าที่ผู้สมัคร” ภาคกลางของพรรคเมื่อวันก่อน “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำคนสำคัญ เป็นคนพูดเองว่า “ขอให้ผู้ที่จะลงเลือกตั้ง นำนโยบายบัตรประชารัฐ ไปพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่” และเชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะช่วย “เพิ่มคะแนนนิยม” ในพื้นที่ได้อย่าง “เป็นกอบเป็นกำ”
000 จริงอยู่ที่นโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือ “นโยบายช่วยคนจน” จะถือเป็นนโยบายสำคัญที่ทุกพรรคพึงมี และถือเป็นนโยบาย “โกยแต้ม” ให้แก่บรรดาพรรคการเมือง แต่ทว่า การใช้นโยบายดังกล่าวควรที่จะต้องตั้งอยู่บนโจทย์ที่ว่า “จะต้องช่วยคนจริงๆเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเพียงการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” เท่านั้น
000 อย่างล่าสุดที่เกิดกรณีดราม่าขึ้น ในกรณีหญิงสาวใส่สร้อยทองเส้นโต ถ่ายรูปเงิน 500 บาท กับบัตรคนจนเผยแพร่ในโซเชียล จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เป็นผู้มีรายได้น้อยจริงหรือไม่” และ “สมควรได้รับสิทธิมากน้อยเพียงใด” ร้อนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ “นายกฯลุงตู่” ต้องสั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
000 กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ได้เกิดกรณีในลักษณะเดียวกัน คือภาพ “ชายหนุ่มร่างกำยำ” คนหนึ่งที่โพสต์ภาพบัตรคนจนคู่กับกาแฟ และสิ่งของเครื่องใช้ “แบรนด์หรู” ก่อนจะเฉลยว่า ตนได้รับสิทธิในฐานะผู้มีรายได้น้อยจริง ส่วนสิ่งของเครื่องใช้ที่นำมาสวมใส่นั้นมีการ “ยืมเพื่อนมา” แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงท้วงติงถึงความเหมาะสมการได้รับสิทธิพร้อมคำถามที่ตามมาว่า “เหตุใดจึงไม่ประกอบอาชีพทั้งที่อยู่ในวัยทำงาน”
000 ประเด็นต่างๆเหล่านี้จึงถือเป็นโจทย์สำคัญที่พรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีการชูนโยบายดังกล่าว จะหยิบไปเป็นโจทย์คิดถึงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินให้กับคนจนจริง-ไม่จริง อย่างถูกจุดและมีประสิทธิภาพ
000 ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับนโยบายช่วยคนจน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่สิ่งสำคัญคือก่อนจะช่วยควรที่จะต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ใช้งบจำนวนมหาศาลอย่างคุ้มค่าและตรงจุดที่สุด!!