สธ.เผยประสิทธิผล "ฉีดวัคซีนโควิด" เข็ม 3 ป้องกัน "โอมิครอน" สูงขึ้น

สธ.เผยประสิทธิผล "ฉีดวัคซีนโควิด" เข็ม 3 ป้องกัน "โอมิครอน" สูงขึ้น

กระทรวงสาธารณสุข เผยประสิทธิผล "ฉีดวัคซีนโควิด" จากการใช้จริงในจังหวัดเชียงใหม่ พบฉีด 2 เข็มป้องกันติด "โอมิครอน" ไม่ได้ แต่ยังป้องกันเสียชีวิตได้สูง ฉีดเข็ม 3 ป้องกันติดเชื้อ 45-68% ป้องกันเสียชีวิตสูง 98%

วานนี้ (21 มี.ค.65) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน และนพ.วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริงในการระบาดของสายพันธุ์ "โอมิครอน" และแนวทางการให้ "วัคซีนโควิด 19" ของกระทรวงสาธารณสุข

นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทย "ฉีดวัคซีนโควิด" ในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าใกล้ 80% ฉีดเข็มสองตามมาเกิน 72% แล้ว แต่ฉีดเข็มสามได้ประมาณ 33% ซึ่งข้อมูลผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 19 มีนาคม 2565 จำนวน 2,464 ราย อายุเฉลี่ย 73 ปี อายุน้อยสุด 3 เดือน อายุมากสุด 107 ปี มีหญิงตั้งครรภ์ 2 ราย มีโรคประจำตัว 2,135 ราย มากที่สุดคือโรคความดันโลหิตสูง ตามด้วย เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไตเรื้อรัง มะเร็ง โรคอ้วน และปอดอุดกั้นเรื้อรัง โดยพบว่า 57% ไม่ได้ฉีดวัคซีน อีก 31% ฉีด 2 เข็มเกินกว่า 3 เดือน

ทั้งนี้ จากการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนจากการใช้จริงระยะที่มีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนในพื้นที่เชียงใหม่ โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับคณะทำงานติดตามประสิทธิผลวัคซีนโควิด 19 และคณะทำงานด้านวิชาการ ดำเนินการเก็บข้อมูลช่วงมกราคมและกุมภาพันธ์ 2565 พบว่า

หากฉีด 2 เข็ม ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ "โอมิครอน" ได้ ฉีด 3 เข็ม ป้องกันติดเชื้อ 45-68% หากฉีด 4 เข็ม ป้องกันติดเชื้อได้ 82% 

ส่วนการป้องกันการเสียชีวิต หากฉีด 2 เข็ม ป้องกันได้ 85-93% ฉีด 3 เข็ม ป้องกันได้ 98% ส่วนการฉีด 4 เข็ม ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“จะเห็นได้ว่า การฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไม่ช่วยเรื่องป้องกันการติดเชื้อและประสิทธิภาพป้องกันการเสียชีวิตน้อยลง จึงจำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 3 ซึ่งนอกจากป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ยังลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้ด้วย เป็นการลดโอกาสติดเชื้อตั้งแต่ต้น ก็จะไม่ไปถึงการเสียชีวิตได้” นพ.เฉวตสรรกล่าว

ด้าน นพ.วิชาญ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2565 คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้ประชุมและมีคำแนะนำการ "ฉีดวัคซีนโควิด" เข็มกระตุ้น ดังนี้ 

  1. กลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้ฉีดเข็มสาม ห่างจากเข็มสอง ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปในวัคซีนทุกสูตร และฉีดเข็มสี่ ห่างจากเข็มสาม ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป โดยหากฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ สามารถเลือกฉีดแบบครึ่งโดสได้ ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์และความสมัครใจของผู้รับวัคซีน
  2. กลุ่มอายุ 12-17 ปี ให้เข้ารับวัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มสาม โดยใช้ขนาดโดสมาตรฐาน มีระยะห่างจากเข็มสองเป็นเวลา 4-6 เดือนขึ้นไป สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
  3. ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน ให้ฉีดวัคซีนตามหลักการเดียวกับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อ โดยให้วัคซีนหลังติดเชื้อเป็นเวลา 3 เดือน

นพ.วิชาญกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญเร่งรัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุ เพื่อเตรียมความพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสี่ยงติดเชื้อและเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น

โดยผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ฉีดไม่ครบ หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นจะมีความเสี่ยงมากขึ้น ขณะนี้ได้สั่งการไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เร่งรัดค้นหาผู้สูงอายุในพื้นที่ที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นและที่ยังตกหล่น โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนผู้ที่ครบกำหนดฉีดเข็มกระตุ้นให้ได้อย่างน้อย 70% ก่อนเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งได้เตรียมวัคซีนไว้ถึง 3 ล้านโดส

และจัดบริการฉีดวัคซีนทั้งในสถานบริการและฉีดเชิงรุกในพื้นที่ พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วน เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน สภาอุตสาหกรรม และภาคเอกชน เพื่อค้นหาและให้บริการฉีดวัคซีนประชาชน สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจ รวมถึงจัดงานรณรงค์ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ผู้สูงอายุรับรู้ในวงกว้าง