เฟซบุ๊ค ยก ไทย ดิจิทัลโตแรง คาดปีนี้คนไทยกว่า 73% คือ ผู้บริโภคดิจิทัล

เฟซบุ๊ค ยก ไทย ดิจิทัลโตแรง คาดปีนี้คนไทยกว่า 73% คือ ผู้บริโภคดิจิทัล

Facebook ชี้ส่วนแบ่งธุรกิจค้าปลีกดิจิทัลไทยเติบโตต่อเนื่อง ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นแท่นผู้นำในเอเชียแปซิฟิค ระบุ 73% ของคนไทยเป็นผู้บริโภคดิจิทัลปีนี้แน่ ขณะที่ ราวครึ่งหนึ่งจะใช้จ่ายกับบริการการเงิน ดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น หลังโควิด-19 คลี่คลาย

เฟซบุ๊ค ยก ไทย ดิจิทัลโตแรง คาดปีนี้คนไทยกว่า 73% คือ ผู้บริโภคดิจิทัล

ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคดิจิทัลระบุว่า 73% ของคนไทยเป็นผู้บริโภคดิจิทัลในปี 2564 โดยคาดการณ์ว่าราวครึ่งหนึ่งจะใช้จ่ายกับบริการด้านการเงินและการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19

Facebook และ เบน แอนด์ คอมพานี (Bain & Company) ได้เปิดตัวผลการศึกษาประจำปีที่มีชื่อว่า SYNC Southeast Asia เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลและอนาคตของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเน้นถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของการบริโภคในยุคดิจิทัลของคนไทยในปีที่ผ่านมา

ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้นำด้านการเติบโตของส่วนแบ่งธุรกิจธุรกิจค้าปลีกดิจิทัล โดยธุรกิจค้าปลีกดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เติบโตขึ้น 85% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แซงหน้าประเทศจีน ( 5%) บราซิล (14%) และอินเดีย (10%)

เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทรนด์ในปัจจุบันและเทรนด์ที่กำลังจะมาถึงในอนาคต Facebook และ เบน แอนด์ คอมพานี ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคดิจิทัลราว 16,700 คน พร้อมรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงกว่า 20 คนจาก 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม
 

ผลการศึกษาครั้งใหม่ภายใต้หัวข้อ "Southeast Asia, the home for digital transformation" เป็นการต่อยอดจากผลการศึกษาในปีก่อนหน้านี้ ที่จัดทำขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561โดย Facebook และเบน แอนด์ คอมพานี และชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผู้บริโภคดิจิทัลราว 350 ล้านคน และ 73% ของผู้บริโภคในประเทศไทยจะกลายเป็นผู้บริโภคดิจิทัลภายในสิ้นปี 2564 นอกจากนี้ อัตราการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลต่อคนได้เติบโตขึ้น 60% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยอดขายอี-คอมเมิร์ซโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2569

ผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงแต่ใช้จ่ายออนไลน์มากขึ้นตามที่ถูกคาดการณ์ไว้ในปี พ.ศ. 2563 แต่ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้น (ร้อยละ 45) จะใช้ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการซื้อสินค้า พวกเขาพร้อมเปิดรับการค้นพบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ โดยร้อยละ 65 กล่าวว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะซื้ออะไรเวลาที่เข้าไปในช่องทางออนไลน์

สำหรับชาวไทย ร้อยละ 64 กล่าวว่าในปีนี้ พวกเขาได้ลองซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยยังซื้อสินค้าออนไลน์ในหมวดหมู่ที่หลากหลายมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าในปัจจุบัน พวกเขาซื้อสินค้าออนไลน์จาก 8.3 หมวดหมู่สินค้าโดยเฉลี่ย ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 50 จากอัตราเฉลี่ยที่ 5.4 หมวดหมู่สินค้าในปี พ.ศ. 2563
 

การค้นพบสินค้าออนไลน์:  นิยามใหม่ของประสบการณ์การช้อปปิ้ง

แพร ดํารงค์มงคลกุล Country Director ของ Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า "เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงผลักดันให้ผู้คนหันไปสู่ช่องทางออนไลน์ ในอัตราที่สูงในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยมีการสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ ในเรื่องของการค้นพบสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การพิจารณา และการซื้อ สำหรับแบรนด์ต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นใหม่และแบรนด์ที่อยู่มายาวนาน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความจำเป็นในการพิจารณาการปรับปรุงพัฒนาประสบการณ์อี-คอมเมิร์ซแบบดั้งเดิม  และมองหาวิธีการที่สร้างสรรค์ ใหม่ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ให้ได้

นอกจากนั้นเรายังมองว่า พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคนี้จะยังเป็นเทรนด์ที่คงอยู่ แม้ธุรกิจและร้านค้าต่างๆจะสามารถกลับมาเปิดได้แล้วในอนาคต อันเป็นผลจากการที่ผู้คนยังคงพึ่งพาช่องทางดิจิทัลในการเชื่อมต่อกับแบรนด์ สิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ต่างๆ ควรพิจารณาถึงกลยุทธ์ด้านดิจิทัลอย่างยั่งยืน และให้ผลระยะยาวเพื่อทำให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายรู้สึกเข้าถึงได้และมีส่วนร่วมอยู่เสมอ"

ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการสร้างความภักดีต่อแบรนด์รวมถึงการเติบโต เพราะว่าตลาดอีคอมเมิร์ซยังค่อนข้างกระจัดกระจาย ในปี 2564 นักช้อปชาวไทยใช้เวลาค้นหา สินค้าจาก 8.6 เว็บไซต์ก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเพิ่มขึ้น 60% จากค่าเฉลี่ยที่ 5.5 เว็บไซต์ในปี 2563 แม้ว่าความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไปจะยังคงเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจเปลี่ยนแบรนด์ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญเพียงข้อเดียวอีกต่อไป เพราะว่าผู้บริโภคชาวไทยยังให้ความสำคัญ กับคุณภาพของสินค้า ยังคงมองหาแบรนด์อื่นๆ ที่มีความคุ้มค่า รวมถึงยังเปิดรับที่จะลองสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย

การค้นพบสินค้าผ่านช่องทางดิจิทัลนั้น มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง 80% ของช่องทางที่ผู้บริโภค ใช้ในการค้นหาสิ่งที่พวกเขาจะซื้อ อยู่บนโลกออนไลน์ และสำหรับการพิจารณาซื้อสินค้า 83% ของช่องทางที่ถูกใช้เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการคือช่องทางออนไลน์  56% ของการใช้จ่ายบนสินค้าจากธุรกิจค้าปลีกเกิดขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล ในขณะที่ 44% ที่เหลือเกิดขึ้นผ่านช่องทางออฟไลน์ อีกสิ่งที่น่าสังเกตคือวิดีโอบนโซเชียล มีเดียได้รับความนิยมสูงขึ้นสามเท่าในฐานะช่องทางการค้นพบสินค้า โดย 22% ของผู้ตอบแบบ สำรวจกล่าวว่าวิดีโอบนโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการค้นพบสินค้าของพวกเขา

การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน กับไลฟ์สไตล์ที่มีบ้านเป็นศูนย์กลาง

ผู้บริโภคชาวไทยมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดย 93% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าพวกเขาเต็มใจที่ จะจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อซื้อสินค้าที่ส่งเสริมความยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม และ 78% มีความยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มสูงสุดถึง10% สำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

นอกจากนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวยังได้ค้นพบว่าไลฟ์สไตล์ที่มีบ้านเป็นศูนย์กลาง จะมีการเติบโตมากขึ้น ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประมาณ 72% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าช่วงเวลาที่ถูกใช้ "ภายในบ้าน" จะเท่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นผู้ตอบแบบสำรวจภายในภูมิภาคอย่างน้อย 37% ยังกล่าวด้วยว่าพวกเขาคาดหวังที่จะทำงานที่บ้านแม้หลังจากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว และสุดท้าย ประมาณ 90% ของผู้บริหารเชื่อว่ารูปแบบการทำงานที่บ้านแบบไฮบริดจะกลายเป็น รูปแบบการทำงานที่เห็นได้ทั่วไปหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้

"ผลการศึกษาเหล่านี้ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนอยากจะรู้สึกว่าพวกเขา ได้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องมากขึ้น เวลานี้เอง คือช่วงเวลาที่แบรนด์จะต้องแสดงความกล้า และปรับปรุงช่องทางรวมถึงแพลตฟอร์มต่างๆ ที่จะใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เพื่อที่จะถูกค้นพบโดยผู้บริโภคได้ เราหวังว่าเราจะสามารถมีบทบาทในการสนับสนุนแบรนด์ต่างๆ ในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยรวม เพื่อทดลองประสบการณ์การช้อปปิ้ง ในรูปแบบใหม่ๆ หรือนำเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น Augmented Reality มาใช้"

สำหรับแนวโน้มใหม่ๆ ผลการศึกษาดังกล่าวได้ค้นพบว่ากว่า 80% ของเงินกองทุนร่วมลงทุนต่างๆ กำลังไหลเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังได้ชี้ว่าคนไทย มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายไปกับบริการธุรกรรมการเงินและการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลภายหลังสถานการณ์การ แพร่ระบาดคลี่คลาย สูงกว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยรวม (45% เทียบกับ 38% ตามลำดับ) การลงทุนมหาศาลนี้ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน เทคโนโลยีการศึกษา หรืออีคอมเมิร์ซอื่นๆ

ดิเรก เกศวการุณย์ พาร์ทเนอร์และผู้อำนวยการฝ่ายการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีก เบน แอนด์ คอมพานี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "การปรับตัวได้อย่างว่องไวในปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลลัพธ์ที่คุ้มค่าให้กับเจ้าของแบรนด์และแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด มีผู้บริโภคในประเทศไทย จำนวนเพิ่มขึ้นถึง 32% ที่เปลี่ยนมาใช้ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางในการซื้อสินค้ามากที่สุด ในทุกหมวดหมู่

โดยหมวดหมู่ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือสินค้าอุปโภคบริโภคและเฟอร์นิเจอร์ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีโอกาสในการเติบโตและสามารถสร้างผลกำไรจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ ปรับเปลี่ยนไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจ้าของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เพื่อสร้างผลกำไรจากการเติบโตของดิจิทัลหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด และสร้างเกราะป้องกันให้กับธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอื่นๆที่อาจจะตามมา"