ธปท.เผยลูกหนี้จ่อตีโอนพักทรัพย์-พักหนี้อีก 10 ราย มูลค่าหลายหมื่นล้าน

ธปท.เผยลูกหนี้จ่อตีโอนพักทรัพย์-พักหนี้อีก 10 ราย มูลค่าหลายหมื่นล้าน

ธปท.เปิดความคืบหน้าโครงการ "พักทรัพย์-พักหนี้" จากการติดตามกับสถาบันการเงินพบลูกหนี้แสดงความประสงค์เข้ามาแล้วกว่า 10 ราย มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท คาดทยอยโอนหลังจากสัปดาห์นี้ภายหลังภาครัฐยกเว้นภาษีตีโอน

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงโควิด-19 ว่า จากการสอบถามไปยังสถาบันการเงินพบว่าลูกหนี้ได้ติดต่อขอเข้าร่วมโครงการและมีการอนุมัติภายในสถาบันการเงินแต่ละแห่งแล้วรวมกว่า 10 กว่าราย มูลค่าสินทรัพย์รวมกว่าหลายหมื่นล้านบาท โดยสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ขอเข้าร่วมโครงการเป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น โรงแรม อาคารพาณิชย์ โรงพยาบาล สปา โรงงานแปรรูป ฯลฯ 

โดยคาดว่าลูกหนี้กลุ่มนี้จะทยอยตีโอนสินทรัพย์เข้าร่วมโครงการหลังจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ภายหลังจากที่ พ.ร.ก.ยกเว้นภาษีตีโอนได้ลงนามในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วในวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ภาระค่าใช้จ่ายในการตีโอนลดลง โดยปัจจุบันกรมกรมสรรพากรอยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้

ขณะที่ปัจจุบันมีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการและได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว 2 ราย มูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 1 พันล้านบาท โดยยอมรับว่ายอดอนุัมติที่ยังทำได้ช้า นอกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว พบว่าสถาบันการเงินและลูกหนี้หนี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจร่วมกันในหลายๆ เรื่อง เพราะเป็นมาตรการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

โดยภายในปลายสัปดาห์นี้ (19-23 ก.ค.) หรืออย่างช้าในต้นสัปดาห์หน้า (26-30 ก.ค.) ธปท.จะออกคู่มือ (Booklet) เพื่ออธิบายโครงการและรายละเอียดการคำนวณเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการต่อไป

"เราคาดว่ายอดอนุมัติเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ จะทยอยเพิ่มขึ้นหลังภาครัฐให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากปัจจุบันที่ธนาคารและลูกหนี้อยู่ระหว่างเจรจาตกลงกัน โดย ธปท.ย้ำว่าธนาคารทุกแห่งจะต้องนำถ้อยคำที่ ธปท.กำหนดเข้าไปอยู่ในสัญญาตีโอน และธนาคารจะต้องส่งสัญญาตีโอนมาให้ ธปท.ตรวจสอบถ้อยคำ โดยทุกๆ ครั้งที่ลูกหนี้ขอเข้าโครงการธนาคารจะส่งสัญญาตีโอนมายัง ธปท.เพื่อขออนุมัติเข้าร่วมโครงการและเบิกกู้ ซึ่ง ธปท.จะเป็นผู้ดูแลสัญญาให้เป็นธรรม"