ธปท.เปิดดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจ มิ.ย. ทรงตัวต่ำจากผลกระทบโควิด

ธปท.เปิดดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจ มิ.ย. ทรงตัวต่ำจากผลกระทบโควิด

ธปท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน มิ.ย.64 เพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ฝั่งความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนส่งโดยสารยังลดลงต่อเนื่อง ตามความกังวลโควิดที่ยืดเยื้อ-รุนแรง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน มิ.ย.2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับเพิ่มขึ้นจาก 43.0 ในเดือนก่อนมาอยู่ที่ 46.5 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบและเกือบทุกธุรกิจทั้งในภาคการผลิตและภาคที่มิใช่การผลิต ยกเว้น กลุ่มผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่ดัชนีฯ ยังคงลดลงต่อเนื่องจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ ประกอบกับราคาเหล็กที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่คลี่คลายกดดันให้ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนของธุรกิจในภาคการผลิตอยู่ในระดับต่ำ

เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในกลุ่มขนส่งผู้โดยสารที่ความเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่องและอยู่ในระดับต่ำ ตามความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีฯ โดยรวมยังอยู่ต่ำกว่า 50 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน

162513815631

ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีฯ อยู่ที่ 49.6 ทรงตัวต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างรวมถึงกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร ที่ดัชนีฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สะท้อนว่าผู้ประกอบการกลุ่มนี้คาดว่าธุรกิจจะยังคงแย่ลงเมื่อเทียบกับปัจจุบัน

ขณะที่ในภาคการผลิต แม้ว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีฯ โดยรวมที่ยังมากกว่า 50 แต่ดัชนีฯ ปรับลดลงเล็กน้อย จากความเชื่อมั่นด้านต้นทุนที่ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากหลายปัจจัยกดดันให้ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในระยะถัดไป อาทิ ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ราคาเหล็กและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง

ขณะที่ด้ชนีความเชื่อมั่นด้านอื่นๆ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านสภาพคล่องยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีสภาพคล่องตึงตัว ขณะที่ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องและอยู่ในระดับต่ำ ตามราคาปัจจัยการผลิตหลายรายการที่ปรับเพิ่มขึ้น

ในเดือนนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าต้นทุนการผลิตสูงเป็นข้อจำกัดอันดับที่หนึ่ง จากทั้งราคาเหล็กในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และต้นทุนด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8