หลายประเทศยุโรปจ่อล็อกดาวน์รอบ2

หลายประเทศในยุโรป พิจารณาแผนการควบคุมการระบาดของโควิด-19 เริ่มจากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมสั่งปิดบาร์ผับ ฟิตเนส และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงคาสิโนในเมืองลิเวอร์พูล เริ่มต้นในวันพุธนี้ (14ต.ค.)ตามเวลาอังกฤษ แต่ยังเปิดร้านอาหาร และสถานศึกษาตามปกติ หลังจากที่เมืองลิเวอร์พูล มีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 สูงสุดในยุโรป

ส่วนอิตาลี ประกาศมาตรการใหม่เมื่อวันจันทร์ ให้กลับมาสวมหน้ากากแม้แต่ช่วงอยู่ในเคหะสถานหากมีแขกมาเยี่ยมเยือน และให้สวมหน้ากากขณะอยู่ที่ร้านอาหาร บาร์ ทำกิจกรรมที่โรงเรียนหรือชมกีฬา และห้ามการรวมกลุ่มเกิน 6 คน ในร้านอาหาร ไนท์คลับ หรือพื้นที่สาธารณะ จากยอดติดเชื้อใหม่เฉลี่ย 5-6 พันคนต่อวัน เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน และมาตรการนี้คล้ายกับที่เนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศสนำกลับมาใช้

ที่สาธารณรัฐเช็ก กลับมายกระดับควบคุมการระบาดอีกครั้ง โดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 3 สัปดาห์เมื่อวันอังคาร สั่งปิดสถานศึกษา ผับบาร์ไนท์คลับ จนถึงวันที่ 3 พ.ย.นี้ หลังยอดติดเชื้อพุ่งเกือบ 9 พันรายเมื่อวันศุกร์

ขณะที่สถาบันโรเบิร์ต ค็อก ( อาร์เคไอ ) ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเยอรมนี รายงานสถานการณ์โรคโควิด-19 ในรอบวันที่ผ่านมา ว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่อย่างน้อย 329,453 คน เพิ่มขึ้น 4,122 คน เป็นสถิติรายวันสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่สถิติสะสมของผู้เสียชีวิตมีจำนวนอย่างน้อย 9,634 คน เพิ่มขึ้น 13 คน

นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี ได้หารือกับนายกเทศมนตรีของเมืองใหญ่ 11 แห่งในเยอรมนี เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และได้ข้อสรุปร่วมกันว่า หากอัตราการระบาดของโรค(ไออาร์)ในรอบ 7 วันของเมืองต่างๆสูงกว่า 50 ต่อประชากร 100,000 คนให้ถือเป็นพื้นที่เสี่ยง และต้องมีการยกระดับมาตรการทางสังคมให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งพบว่า มีเมืองอย่างน้อย 9 แห่งเข้าเกณฑ์นี้ คือกรุงเบอร์ลิน เมืองแฟรงก์เฟิร์ต เมืองเอสเซิน เมืองเบรเมน เมืองโคโลญจน์ เมืองชตุทการ์ท เมืองโรเซนไฮม์ เมืองเมมิงเงิน และเมืองมิวนิก

รายงานของอาร์เคไอ ระบุว่า ค่าไออาร์ของเมืองมิวนิก ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ รองจากกรุงเบอร์ลิน และเมืองฮัมบวร์ก อยู่ที่ 50.6 ต่อประชากร 100,000 คน ในรอบ 7 วันที่ผ่านมา