'เทมาเส็ก'รุกลงทุนฟาร์มแนวดิ่งหนุนความมั่นคงอาหารสิงคโปร์

'เทมาเส็ก'รุกลงทุนฟาร์มแนวดิ่งหนุนความมั่นคงอาหารสิงคโปร์

'เทมาเส็ก'รุกลงทุนฟาร์มแนวดิ่งหนุนความมั่นคงอาหารสิงคโปร์ และการทำฟาร์มแนวดิ่งจะขยายตัวคิดเป็นมูลค่า 12.77 พันล้านดอลลาร์ในปี 2569 เพิ่มขึ้นจาก 2.23 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561

ด้วยความที่ประชากรโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่างๆในหลายประเทศจึงพยายามผลิตอาหารในรูปแบบต่างๆเพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในประเทศตนและหากโชคดี จังหวะเหมาะ หากสามารถผลิตได้ปริมาณมาก ก็ส่งออกไปขาย ทำรายได้ให้แก่ประเทศได้ด้วย

ล่าสุด เทมาเส็ก โฮลดิงส์ บริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ได้ขยายพอร์ทการลงทุนไปทำฟาร์มบนตึกสูงระฟ้า โดยร่วมทุนกับไบเออร์ บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจไลฟ์ซายน์ ด้านการดูแลสุขภาพและการเกษตร ซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประโยชน์ สนับสนุน และมีความพยายามในการจัดการกับความท้าทายในเรื่องของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

การเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ของเทมาเส็ก จะช่วยให้สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเองในด้านการเกษตรได้มากขึ้น โดยโครงการร่วมทุนนี้มีชื่อว่า “อันโฟลด์”(Unfold) ในรูปแบบการร่วมทุน 50-50 ตั้งแต่เดือนที่แล้ว โดยเทมาเส็กจะพัฒนาและทำตลาดเมล็ดพันธุ์พืชที่จะปลูกในแนวดิ่งทั้งที่สำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์และในแคลิฟอร์เนีย

ปัจจุบันนี้ สิงคโปร์ ผลิตอาหารให้ประชากรบริโภคได้ไม่ถึง 10% ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนในเรื่องนี้ให้ได้ 30% ภายในปี 2573 ซึ่งทางการสิงคโปร์ เชื่อว่า การทำฟาร์มในแนวดิ่งจะช่วยให้สิงคโปร์บรรลุเป้าหมายนี้ได้ โดยใช้เทคนิคปลูกพืชเป็นชั้นในตึกสูงระฟ้าและใช้แสงเทียมเป็นตัวเร่งกระบวนการเติบโต โดยพืชที่ปลูกไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศ และคาดว่าวิธีการนี้จะให้ผลผลิตจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว

“เทมาเส็กถือเป็นหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนชั้นนำด้านอาหารและด้านการเกษตร และมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาบริษัทที่ทำฟาร์มแนวดิ่ง”เจอร์เก้น เอ็กฮาร์ด ผู้บริหารลีปส์ หน่วยงานด้านการลงทุนของไบเออร์ กล่าว

ทั้งนี้ ไบเออร์ จะจัดหาข้อมูลด้านพันธุกรรมของพืชที่จะปลูกให้กับอันโฟลด์ ซึ่งจะพัฒนาผักกาด ผักโขม และมะเขือเทศ ตลอดจนพืชผักประเภทอื่นๆให้มีความหลากหลายมากขึ้น และบริษัทจะจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้แก่บรรดาผู้ผลิตอาหารด้วย ส่วนเทมาเส็กจะแนะนำเทคโนโลยีและแบ่งปันความเชี่ยวชาญในรูปแบบต่างๆที่ใช้กับโครงการอันโฟลด์ให้แก่บริษัต่างๆและกลุ่มเป้าหมายด้านการลงทุนอื่นๆ

ทุกวันนี้ เทมาเส็กถือหุ้นในบริษัทซัสเทนเนียร์ อะกริคัลเจอร์ บริษัททำฟาร์มในเมืองสัญชาติสิงคโปร์ จึงวางแผนที่จะจัดหาช่องทางทางธุรกิจให้แก่ซัสเทนเนียร์ในการปลูกพืชผักที่ให้ผลผลิตสูงภายใต้โครงการอันโฟลด์

อัลไลด์ มาร์เก็ต รีเสิร์ช คาดการณ์ว่า การทำฟาร์มแนวดิ่งจะขยายตัวคิดเป็นมูลค่า 12.77 พันล้านดอลลาร์ในปี 2569 เพิ่มขึ้นจาก 2.23 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561

ส่วนเทมาเส็กลงทุนในบริษัทไบเออร์เมื่อปี 2561 เป็นจำนวนเงิน 3 พันล้านยูโร(3.7 พันล้านดอลลาร์)ซึ่งเงินลงทุนก้อนนี้ของเทมาเส็ก ช่วยให้ไบเออร์ สามารถเข้าซื้อกิจการมอนซานโต้ ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นนำสัญชาติสหรัฐได้ และบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนในภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นในอนาคต

“ไม่ว่าการปลูกพืชแนวดิ่งจะเป็นการผลิตโปรตีนทางเลือก การเกษตรทางเลือก หรือเป็นการใช้วิทยาศาสตร์กับการทำฟาร์ม แต่การทำโครงการนี้จำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่มขึ้น และนับจนถึงขณะนี้ ถือว่าสิ่งที่เราลงทุนไปได้ผลดีและเรายังคงเดินหน้าลงทุนด้านนี้ต่อไป”ดิลฮัน พิลเลย์ แซนดราเซการา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)เทมาเส็ก อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว

เทมาเส็กขยายพอร์ทการลงทุนด้านไลฟ์ซายน์และเพิ่มการลงทุนในธุรกิจด้านการเกษตรมาตลอด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% นับจนถึงปลายเดือนมี.ค. มากกว่าช่วง5ปีก่อนหน้านี้ประมาณ 5% และหากคิดเป็นตัวเงินมีมูลค่าประมาณ 17,000 ล้านดอลลาร์

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 เพิ่มความวิตกกังวลแก่ทั่วโลกเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหาร ประเทศไทยและประเทศคู่ค้าอื่นๆของสิงคโปร์ พากันคุมเข้มด้านการส่งออก ส่วนรัฐบาลสิงคโปร์ต้องอัดฉีดเงิน 30 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆผลิตไข่ ผักมีใบและเพาะพันธุ์ปลาได้มากขึ้น

“ในสิงคโปร์มีพื้นดินที่สามารถปลูกอะไรได้ไม่ถึง 0.8% การทำฟาร์มแนวดิ่งจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมและสำคัญมาก”จอห์น เพอร์เซลล์ ซีอีโออันโฟลด์ กล่าว

ปีนี้ เทมาเส็กลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพหลา่ยแห่งที่พัฒนาสิ่งที่ใช้แทนเนื้อและปลา รวมทั้งผลิตนมจากพืช และเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทจีไอซี หน่วยงานลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์อีกแห่ง ได้เข้าไปถือหุ้นในอะพีล ซายน์ บริษัทดำเนินธุรกิจด้านไลฟ์ซายน์สัญชาติสหรัฐที่พัฒนาเปลือกเทียมสำหรับผลไม้และผักที่ช่วยยืดอายุของผักและผลไม้ให้ยาวนานออกไป

นอกจากนี้ เทมาเส็ก ยังเพิ่มการลงทุนในการแพทย์สมัยใหม่ อาทิ ไบโอฟาร์มาซูติคัล ด้วยการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้ประมาณ 10 แห่งในปีนี้ อย่างบริษัทเวอร์เท็กซ์ เวนเจอร์ โฮลดิงส์ หน่วยงานในเครือของเทมาเส็กที่ดูแลด้านการจัดหาทุนให้ธุรกิจด้านการแพทย์ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านการดูแลสุขภาพจำนวนกว่า 20 แห่ง รวมถึง อีเลเวชั่น ออนโคโลจี บริษัทพัฒนายาสัญชาติอเมริกัน เมื่อเดือนก.ค.

“การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนด้านวิจัยและการพัฒนา(อาร์แอนด์ดี)และตอกย้ำถึงความสำคัญของการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วโลก จึงเป็นเหตุผลให้เราเดินหน้าทำข้อตกลงใหม่ๆกับบริษัทต่างๆ”ลอรี หู กรรมการผู้อำนวยการเวอร์เท็กซ์ เวนเจอร์ส เอชซี กล่าว