ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิต AQUA ที่ระดับ BBB-

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิต AQUA ที่ระดับ BBB-

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUAที่ระดับ BBB- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUAที่ระดับ BBB- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในการเป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ตลอดจนรายได้ประจำจำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากปัจจัยหลายประการไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยและค่าใช้จ่ายโฆษณา

ทั้งนี้ทริสเรทติ้งคาดว่างบโฆษณาโดยรวมจะลดลง 15%-17% ในปี 2563 โดยที่โรคระบาดยังคงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมและความต้องการใช้สื่อโฆษณาชะลอตัวและทำให้เกิดการยกเลิกการจัดกิจกรรมต่างๆ และตัดงบโฆษณาลง โดยคาดว่างบโฆษณาโดยรวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยจะลดลงประมาณ 25% ในปี 2563 แต่มีแนวโน้มที่จะเริ่มฟื้นตัวตามอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2564

ขณะที่ในระหว่างปี 2558-2562 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 8%-12% เมื่อพิจารณาจากยอดขายนอกจากนี้บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยที่ใหญ่เป็นอันดับ3 ในประเทศไทยด้วย แม้ว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 3 แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทก็ยังถือว่าค่อนข้างเล็กและห่างไกลจากส่วนแบ่งทางการตลาดของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างมาก โดยบริษัทแพลน บี มีเดีย มีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2562 ประมาณ 34% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในปัจจุบันเอาไว้ได้ในปีถัดๆ ไป

บริษัทมีรายได้ประจำจากพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 40% ใน บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิตองค์กรระดับ “BBB-/Stable” จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ครบวงจร รวมถึงดำเนินธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์และธุรกิจพลังงาน

ส่วนรายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดของบริษัทมีเสถียรภาพ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดประจำจากสัญญาเช่าระยะยาวในธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทั้งหมดประมาณ 300-360 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565 โดยรายได้ค่าเช่าคาดว่าจะเติบโต1-3% ต่อปีตามอัตราการปรับค่าเช่าในสัญญา อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 85%-92% ในระหว่างปี 2563-2565 ทั้งนี้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่ค่อนข้างมั่นคงที่บริษัทมีกับหน่วยงานสาธารณูปโภคของรัฐและผู้ซื้อไฟฟ้าเอกชนหลาย ๆ ราย ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป ประมาณปีละ 155-200 ล้านบาทในระหว่างปี 2563-2565

นอกจากนี้สถานะทางการเงินยงัคงอยู่ในระดับปานกลาง โดยระดับภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับปานกลาง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 36% ในปี 2562 จาก36.5% ในปี 2561 แต่ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 กลับเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 38.3% ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนอื่น ๆ ของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 300 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2563-2565 จากระดับ 599 ล้านบาท ในปี2562 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนสร้างป้ายจอ LED และป้ายนิ่งใหม่ รวมถึงขยายคลังสินค้าใหม่ และเปลี่ยนป้ายนิ่งเป็นป้ายจอ LED ดังนั้น จึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 34%-36% ในปี 2563-2565