KBANKชี้เชื่อมั่นนักลงทุนฟื้น จ่อโยกเงินฝากลุยบอนด์ '2.5แสนล้าน'

KBANKชี้เชื่อมั่นนักลงทุนฟื้น จ่อโยกเงินฝากลุยบอนด์ '2.5แสนล้าน'

“กสิกรไทย” เผยความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มฟื้น หลังสถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น พบกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งเริ่มโยกเงินฝากลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพิ่ม คาดมูลค่าไม่น้อยกว่า 2.5 แสนล้าน ชี้ส่วนใหญ่ยังเน้นลงทุนบอนด์ที่มีความเสี่ยงต่ำ

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ "โควิด-19" ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ปิดความเสี่ยง (Risk off) พากันเทขายสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ หันมาถือเงินสด แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันที่เริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งพบจำนวนผู้ติดเชื่อรายใหม่ลดลงมาก ส่งผลให้ความมั่นใจของผู้ลงทุนเริ่มกลับมา

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่า เริ่มเห็นนักลงทุนกลุ่มมั่งคั่งในระดับ Private Banking หรือกลุ่มที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ระดับ 50 ล้านบาทขึ้นไป กลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มเห็นนักลงทุนกลุ่มนี้ย้ายเงินฝากเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

การกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับมา ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ดีขึ้น โดยประเทศไทยพบผู้ติดเชื่อใหม่เพียงตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น อีกทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาต่อเนื่อง หนุนให้นักลงทุนเริ่มลดการถือครองเงินสด และหันมาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มากขึ้น

"หากดู AUM ของกลุ่ม Private banking พบว่า มีสัดส่วนเงินฝากอยู่ราว 30-35% ของพอร์ต หรือราว 2.5 แสนล้านบาท เทียบกับ AUM ทั้งหมดที่มีกว่า 7 แสนล้าน จึงคาดว่าจะเห็นแนวโน้มการโยกเงินฝากในพอร์ตนี้ เข้ามาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนในสินทรัพย์ใหม่ๆ มากขึ้น เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยก็อยู่ระดับต่ำ"

อย่างไรก็ตาม แม้นักลงทุนจะมีความมั่นใจการลงทุนมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าตลาดยังมีความผันผวนสูง จากความไม่แน่นอนในหลายประเด็น ทั้ง โควิด-19 ว่าจะกลับมาระบาดอีกหรือไม่ และมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยที่ออกมาจะตอบโจทย์หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่นักลงทุนห่วงอยู่ ทำให้ยังเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากโควิด เช่น ลงทุนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ รวมถึงกลุ่มการผลิตที่ธุรกิจยังไม่หยุดชะงัก

นอกจากนี้บางส่วนยังเน้นลงทุนในกลุ่มที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (New dimension of wealth sharing) รวมถึงลงทุนในธุรกิจใหม่ของโลก ในเทรนด์ใหม่ที่อิงนวัตกรรม (S-Curve re-innovation) มากขึ้น

สำหรับภาพรวมการลงทุน ปัจจุบันพอร์ตโดยรวมยังคงติดลบประมาณ 7-8% จากความผันผวนของตลาดในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. โดยหวังว่าจะเริ่มเห็นผลตอบแทนฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จากความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับมาเป็นบวกต่อเนื่อง ซึ่งจะหนุนผลตอบแทนจากการลงทุนกลับมาฟื้นตัวได้

"วันนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมติดลบอยู่ที่ 7-8% แต่เราก็ดีกว่าตลาดที่ลงแรงกว่านี้ เราก็คาดว่าครึ่งปีหลัง หากทุกอย่างดีขึ้น ผลตอบแทนตรงนี้ก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งสอดคล้องกับ Lombard Odier ที่มองว่าตลาดมีโอกาสฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง จากเดิม ที่มองว่า สถานการณ์การลงทุนน่าจะตกต่ำต่อเนื่อง ยาวนาน แต่ทุกอย่างก็ต้องดูว่าโควิด-19 จะควบคุมได้หรือไม่ด้วย ซึ่งเราก็ยอมรับว่าอีกด้านเราก็มีการคิดเหมือนกันว่าหากตลาดยังแย่ ด้านผลตอบแทน รายได้ ขนาดสินทรัพย์ก็อาจลดลงได้ แต่ก็จะไม่แย่มาก"

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว โดยคาดว่าจะได้เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าในปี 2564 ตลาดจะมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ซิตี้แบงก์ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกติดลบ 2.3% โดยสหรัฐฯ จะมีการเติบโตติดลบ 2.6% ในขณะที่คาดว่าภูมิภาคเอเชียจะยังคงมีการเติบโตที่ระดับ 2% นำโดยจีนซึ่งจะยังมีการเติบโต 2.4% ในปีนี้