(สกู๊ป) เหตุผลที่ทีมอังกฤษไม่ประสบความสำเร็จในบอลยุโรป
จับสลากออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ และถ้วยเล็ก อย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และ ยูโรปา ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายของซีซั่น 2016/2017
โดยมีคู่ที่น่าสนใจมากมายทั้ง เรอัล มาดริด พบ บาเยิร์น มิวนิค, ยูเวนตุส พบ บาร์เซโลนา และ อันเดอร์เลชท์ พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อย่างไรก็ตามเมื่อสำรวจรายชื่อของทีมที่ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของทั้ง 2 ถ้วยดังกล่าวนี้ มี ทีมจากลีกที่เข้ารอบมามากที่สุด คือ ลาลีกา ลีก สเปน ที่มาทั้งหมด 4 ทีมด้วยกัน ประกอบด้วย เรอัล มาดริด, แอตเลติโก มาดริด, บาร์เซโลนา และ เซลตา บีโก ขณะที่ลีกที่หลายคนยกย่องว่าเป็นลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มีทีมผ่านเข้ามาในรอบดังกล่าวแค่ 2 ทีมเท่านั้น คือ เลสเตอร์ ซิตี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โดยในช่วง 5 ปีหลังสุด สโมสรจากแดนผู้ดี แทบจะไม่ประสบความสำเร็จเลยในเวทียุโรป โดยมีเพียง เชลซี เท่านั้น ที่คว้าแชมป์ยูโรปา ลีก มาครองได้ในปี 2013 ทั้งๆที่ถ้ามองจากศักยภาพ และชื่อชั้นของทีมแล้ว ไม่ต่างจากทีมในลีกอื่น หรืออาจดูดีกว่าด้วยซ้ำ แต่เพราะเหตุใด ทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษถึงไม่ประสบความเร็จในฟุตบอลถ้วยยุโรปมากอย่างที่ควรเป็น?
แท็คติกที่ล้มเหลว
เป็นที่ทราบกันดีว่าสโมสรฟุตบอล ในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีสไตล์การเล่นของทีมที่เน้น “เกมบุก” เป็นหลัก ทำให้มีความสนุก และกลายเป็นลีกที่มีคนติดตามมากที่สุด อย่างไรก็ตามในฟุตบอลยุโรปคำที่ว่า “เกมรุกที่ดีที่สุด คือเกมรับที่ดีที่สุด” อาจจะเอามาใช้ไม่ได้ เพราะมีคำว่ากฎประตูทีมเยือนเกิดขึ้น ซึ่งหากโดนยิงในบ้าน นั่นหมายความว่าทีมจะเสียเปรียบมากขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้หลายทีมดังในยุโรป ใช้แท็คติกที่เน้นเกมรับอย่างอดทน และรอจังหวะสวนกลับอย่างแม่นยำ เพื่อจะได้ “อเวย์ โกล์” มาครอบครอง แต่ทีมของอังกฤษส่วนใหญ่แล้วไม่คำนึงถึงจุดนี้ และบุกจนทีมเสียเปรียบ เช่น เมื่อรอบ 16 ทีมสุดท้ายของเกมยูซีแอลระหว่างคู่ โมนาโก กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี นั้น เกมแรก ทีม “เรือใบสีฟ้า” นำอยู่ถึง 4-2 ซึ่งหากพวกเขา มาเน้นรับ และสวนกลับตามสูตร การเข้ารอบคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สุดท้ายพวกเขาก็มาด้วยแผนเดิม คือ การบุกโดยไม่ผ่อนเกม ซึ่งผลสุดท้ายแล้วทำให้พวกเขาพ่ายไป 3-1 ส่งผลให้ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ได้เน้นแผนตั้งรับอย่างชัดเจน แต่แฟนบอลของทีม “ปีศาจแดง” มองว่าแผนดังกล่าวน่าเบื่อ และกระตุ้นให้เปิดเกมบุกมากกว่าเดิม จนตกรอบไปเช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจต้องแก้ที่ทัศนคติ โดยต้องเลือกว่า “เกมที่สนุก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ” กับ “เกมที่น่าเบื่อ แต่มีแชมป์มาครอบครอง” พวกเขาจะเลือกแบบไหน?
เวลาพักที่น้อยเกินไป
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือเป็นลีกที่กรำศึกหนักกันมากที่สุดในยุโรป หรืออาจในโลกด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่มีการพักเบรกหนีหนาว เหมือนกับลีกอื่นๆในยุโรป ที่มีช่วงเวลาดังกล่าว ทั้ง ลาลีกา สเปน, บุนเดสลีกา เยอรมัน และ กัลโช เซเรีย อา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสภาพร่างกายนักเตะ และฟอร์มการเล่นที่ดร็อปไปตามสภาพร่างกาย โดยเมื่อไปเจอกับทีมอื่นในยุโรป ที่ได้พักผ่อนมามากกว่า พวกเขาก็มักจะทำผลงานได้ไม่ดีเสมอ โดย แกเร็ธ เบล อดีตนักเตะของท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่กับ เรอัล มาดริด กล่าวว่า “แน่นอนว่าพักเบรกหนีหนาวสำคัญมาก ในอังกฤษคุณจะเล่น 4-5 เกมแต่เราไม่ต้องเล่นสักเกม คุณไม่ได้มีเวลาพักผ่อนมากมายนัก และหลังจากนั้นมันทำให้คุณถูกเผาผลาญไปอีกนาน ซึ่งทุกทีมในยุโรปรู้ดีว่าพวกเขาได้เปรียบอังกฤษในเรื่องนี้”
โดยถึงแม้ว่ากุนซือหลายคนจะออกมาเรียกร้องให้ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ พิจารณาให้พรีเมียร์ ลีก มีการเบรกหนีหนาวเหมือนลีกอื่นๆบ้าง มาเป็นเวลาหลายปี เพื่อประโยชน์ต่อสโมสร รวมถึงทีมชาติเวลามีทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา
นักเตะฝีเท้าไม่ถึงขั้น
แม้ในลีกสูงสุดของแดนผู้ดี จะเป็นที่รวมตัวกันของดาวเตะระดับซูเปอร์สตาร์ระดับโลกมากมาย แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำผลงานได้ดีในฟุตบอลยุโรป โดยย้อนสถิติไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีนักเตะที่เล่นในอังกฤษคนเดียวที่ได้รับตำแหน่งดาวซัลโว ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นั่นก็คือ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ขณะนั้นค้าแข้งอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2007-2008 นอกจากนั้นตำแหน่งดังกล่าวก็เป็นของนักเตะจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลนา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หรือบางทีมอย่างเช่น แมนฯซิตี ที่ลงทุนไปมากกว่าปีละเกิน 100 ล้านปอนด์ ในการดึงยอดนักเตะจากลีกอื่นๆเข้ามาสู่ทีม แต่กลับคว้าน้ำเหลว ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเตะในลีกอังกฤษ อาจยังมีคุณภาพไม่มากพอ เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น ชื่อเสียงมีมากกว่าฝีเท้า หรือการที่โค้ชไม่สามารถดึงความสามารถนักเตะออกมาอย่างเต็มที่ได้ จึงต้องเป็นเรื่องที่แก้กันต่อไป หากอยากให้ทีมในพรีเมียร์ ได้ผงาดจับถ้วย “บิ๊กเอียร์” มาครองบ้าง
และทั้งหมดนี้ คือสาเหตุหลักๆที่ทำให้ทีมในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ และถ้วยเล็ก ซึ่งหากแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ก็น่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคต







