ผลักดันจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู เป็นด่านผ่านแดนถาวร-การค้า300ล.

ผลักดันจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู เป็นด่านผ่านแดนถาวร-การค้า300ล.

เดินหน้าผลักดันจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู เป็นด่านผ่านแดนถาวร เผยปีที่รอการอนุญาตใช้พื้นที่จากกรมอุทยานฯ หลังยอดซื้อขายสินค้ากว่า 300 ล้าน

เมื่อวันที่ 17 พ.ย.59 นายประภาส รักษาทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 2 ส่วนแยก 2 ร่วมประชุมหารือกับผู้แทนด่านศุลกากร ด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภอบ้านกรวด ทหาร ตำรวจ และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดผังในการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ สำหรับปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ บริเวณจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ รองรับการยกระดับจากจุดผ่อนปรนเป็นด่านผ่านแดนถาวร ที่ทางจังหวัดและภาคส่วนต่างๆ ได้ร่วมกันเดินหน้าผลักดันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว

ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายก็มีความพร้อมรับการยกระดับเป็นด่านผ่านแดนถาวร แต่ยังรอเพียงการอนุญาตใช้พื้นที่จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าวเท่านั้น โดยเนื้อที่ที่จะขออนุญาตกรมอุทยานฯ ใช้ดำเนินการเปิดด่านผ่านแดนถาวรช่องสายตะกูดังกล่าวรวมทั้งหมด 250 ไร่ ซึ่งทางจังหวัดจะได้นำข้อสรุปที่ร่วมกันกำหนดแผนผังในครั้งนี้ เสนอต่ออธิบดีกรมอุทยานฯ ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาเห็นชอบอนุญาตใช้พื้นที่ตามขั้นตอน

สำหรับช่องสายตะกู เปิดให้ประชาชนทั้งสองฝั่งซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าแบบมนุษยธรรม มาตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2554 สัปดาห์ละ 1 วัน ก่อนจะยกระดับเป็นจุดผ่อนปรนพร้อมขยายวันเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน คือ ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ในวันที่ 14 มิ.ย. 2557 กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2557 ได้ขยายเปิดทำการค้าขายตลอดทั้งสัปดาห์มาจนถึงปัจจุบัน จากการเก็บสถิติพบว่าเมื่อปีที่ผ่านมา มียอดการจำหน่ายสินค้าที่จุดผ่อนปรนช่องสายตะกูดังกล่าวกว่า 300 ล้านบาท ส่วนมากเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง อุปกรณ์ก่อสร้าง และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าหากยกระดับเป็นด่านผ่านแดนถาวรยอดเงินจะสะพัดมากขึ้น

นายประภาส กล่าวว่า หากมีการยกระดับจากจุดผ่อนปรนช่องสายตะกูเป็นด่านผ่านแดนถาวร จะส่งผลดีทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว หากเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรอย่างเป็นทางการแล้ว จะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยวจากกัมพูชาเท่านั้น แต่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกหลายประเทศ จะเดินทางมาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าในอนาคตเศรษฐกิจการค้าช่องสายตะกูดังกล่าวจะสะพัด เพราะปัจจุบันก็มีมูลค่าการค้าขายเดือนละกว่า 25 ล้านบาท