โลกการทำงานปี 2026 จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? วัยทำงานต้องเตรียมรับมือ

ชวนเปิดฉากทัศน์โลกการทำงานปี 2026 ตั้งแต่กระแส "การเลิกจ้างถาวร" จะกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ ไปจนถึง ผลกระทบของ AI ต่อแรงงาน และ Gen Y Gen Z จะเป็นกำลังหลักในที่ทำงาน
KEY
POINTS
- คาดการณ์โลกการทำงานปี 2026 เริ่มจ้างกระแส "การเลิกจ้างถาวร" จะกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ คือการทยอยปลดคนออกอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุน ซึ่งทำให้พนักงานวิตกกังวล
- ผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงานจะยังไม่รุนแรง และเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ได้เกิดฉับพลันตามที่หลายฝ่ายกังวล
- สถานที่ทำงานจะประกอบด้วยคนหลากหลายช่วงวัยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย Gen Y และ Gen Z จะเป็นกำลังหลัก ขณะที่แรงงานสูงอายุ แม้จะถึงวัยเกษียณแต่ยังคงหาทำงานต่ออยู่
- คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงตำแหน่งผู้นำ เนื่องจากความเครียด และเผชิญกับวิกฤติในอาชีพการงานตั้งแต่อายุยังน้อย
- นายจ้างจะเน้นนโยบายกลับเข้าออฟฟิศ (RTO) มากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจ้างงานโดยพิจารณาจากทักษะ (Skills-First Hiring) มากกว่าวุฒิการศึกษา
โลกการทำงานในปีที่ผ่านมาว่ายากแล้ว แต่ในปี 2026 อาจยากยิ่งกว่า?! ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ตลาดแรงงาน นายจ้าง การจ้างงาน และสภาพแวดล้อมการทำงานในปีหน้า เหล่าวัยทำงานทั่วโลกอาจจะต้องเหนื่อยหนักกันต่อไป เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วฉุดไม่อยู่ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ที่ก้าวกระโดด อีกทั้งพลวัตแรงงาน -วัฒนธรรมสถานที่ทำงาน ก็ฉีกรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้วเมื่อเทียบกับยุคพ่อแม่ รวมถึงความคาดหวังของทั้งฝั่งพนักงานและฝั่งของนายจ้างที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในมุมของวัยทำงานคาดการณ์ว่า ต้องเผชิญทั้งกับสถานการณ์การเลิกจ้าง, ผลกระทบจาก AI, ทักษะใหม่ และการผลัดรุ่นคนทำงานเจนเนอเรชันต่างๆ ในที่ทำงาน ขณะที่ในมุมขององค์กรเอง หลายฝ่ายชี้ว่าจะต้องเร่งปรับตัวให้เท่าทันโลกงานยุค AI และปรับเปลี่ยนคุณสมบัติการจ้างงานแบบใหม่ให้เหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น
พูดได้ว่าในปีหน้า 2026 กำลังจะกลายเป็นปีแห่งการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวังใหม่และงบประมาณต่างๆ ในการทำงานจะรัดกุมมากขึ้น กรุงเทพธุรกิจ Work&Leadership ได้รวบตึง 5 เทรนด์สำคัญที่วัยทำงานทุกคนต้องจับตาในปี 2026 มาให้เช็กลิสต์กัน ดังนี้
1. การเลิกจ้างถาวรกลายเป็นเรื่องปกติใหม่
ที่ผ่านมาพนักงานบริษัททั่วโลกต่างเผชิญหน้ากับ "คลื่นปลดคนออก" โดยในปี 2025 กลายเป็นปีแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี ล่าสุดช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าบริษัทชื่อดังระดับโลกอย่าง Amazon, UPS และ Target มีการเลิกจ้างรวมกันกว่า 60,000 ตำแหน่งเลยทีเดียว
คาดการณ์ระยะต่อไปในปี 2026 รายงานแนวโน้มการทำงาน ประจำปี 2026 จาก Glassdoor ระบุว่า หนึ่งในแนวโน้มที่โดดเด่นที่สุดในที่ทำงานจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า "การเลิกจ้างแบบไม่มีวันสิ้นสุด (Forever Layoff)" หมายถึง การเลิกจ้างพนักงานจำนวนน้อยๆ แต่ทยอยปลดออกต่อเนื่อง สำหรับการลดจำนวนพนักงานแบบค่อยเป็นค่อยไปเหล่านี้ อาจไม่เป็นข่าวใหญ่ แต่ก็สร้างความไม่แน่นอนและความวิตกกังวลให้แก่พนักงานอย่างมาก
แม้ทางฝั่งผู้บริหารจะมองว่าเป็นการบริหารต้นทุนที่นุ่มนวล แต่ในมุมของคนทำงานกลับสร้างความหวาดระแวงและบั่นทอนกำลังใจอย่างมหาศาล ย้อนกลับไปดูสถิติความไม่มั่นคงในอาชีพการงานช่วงปลายปี 2025 พบว่า ความกังวลของพนักงานพุ่งสูงยิ่งกว่าช่วงวิกฤตโควิดเสียอีก ภาวะเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานเกิดอาการหมดไฟ แต่ยังทำลายวัฒนธรรมองค์กรในระยะยาวจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่อาจจะยากจะเยียวยา
2. ผลกระทบ AI ต่อคนทำงาน อาจไม่เกิดฉับพลันอย่างที่คิด
AI และระบบอัตโนมัติจะยังคงเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่สุดของโลกการทำงานในปี 2026 และปีต่อๆ ไป แม้ในภาพรวมอาจเห็นว่า AI จะเข้ามาแย่งงานทั้งกลุ่มคนงานสายงานช่าง-งานบริการ และพนักงานออฟฟิศ (White Collar) แต่ข้อมูลเชิงลึกกลับสะท้อนว่า AI ยังไม่ได้มาสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขนาดนั้น
จากข้อมูลวิเคราะห์ในปี 2025 ของ Budget Lab แห่งมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวเมื่อราว 2-3 ปีก่อน ตลาดแรงงานโดยรวมยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน ความกังวลว่า AI กำลังทำลายความต้องการแรงงานมนุษย์นั้นอาจไม่เป็นจริงในเร็ววันนี้ งานวิจัยนี้ชี้ชัดว่า บทบาทของ AI อาจไม่ได้รุนแรงเท่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในระยะแรก
สอดคล้องกับผลวิเคราะห์ของ Glassdoor ที่พบว่า แม้กระแสความตื่นตระหนกเรื่องปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะอยู่ในระดับสูง แต่ความจริงกลับพบว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้างยังอยู่ในวงจำกัด การดิสรัปชันขนานใหญ่ยังไม่เกิดขึ้นทันทีทันใดเหมือนที่หลายคนกังวล จะมีเพียงบางสาขาอาชีพเท่านั้นที่เริ่มเห็นผลกระทบชัดเจน เช่น งานแปลหรือวิศวกรซอฟต์แวร์ ส่วนในภาพรวมนั้น องค์กรส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการทดลองหาแนวทางที่เหมาะสม (มีเพียงไม่กี่องค์กรที่คิดหาวิธีบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ) การเปลี่ยนแปลงจาก AI ในปี 2026 จึงจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการพลิกโฉมโลกทั้งใบเพียงชั่วข้ามคืน
3. ในที่ทำงานจะมีแรงงานหลายช่วงวัยมากที่สุด
สำหรับการเปลี่ยนแปลงเจนเนอเรชันในที่ทำงาน ในปี 2026 คาดว่าจะเกิดการผลัดเปลี่ยนรุ่นของพนักงานมากขึ้น รายงานจาก Employer Brading News ชี้ว่า ปัจจุบันนี้ในตลาดงานมีแรงงานหลายช่วงวัยมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่แล้ว คนรุ่น Gen Y (มิลเลนเนียล) และคนรุ่น Gen Z จะครองสัดส่วนแรงงานส่วนใหญ่ ตั้งแต่ปีหน้าไปจนถึงภายในปี 2030 ยืนยันจากรายงานของดีลอยต์ปี 2025 ที่ระบุว่า กลุ่มพนักงานรุ่น Gen Y และ Gen Z จะคิดเป็นประมาณ 74% ของกำลังแรงงานทั่วโลกในอนาคต ดังนั้น องค์กรควรออกแบบกระบวนการทำงาน การเรียนรู้ และการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง
ในขณะที่แรงงานรุ่นเก่าจะทยอยออกจากงานช้ากว่า และ "แรงงานสูงอายุ" จะมีความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง ศูนย์วิจัย PEW ชี้ว่า ในสหรัฐอเมริกาคาดการณ์ว่าแรงงานที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะคิดเป็น 8.6% ของกำลังแรงงานภายในปี 2032 เพิ่มขึ้นจาก 6.6% ในปี 2022 และคาดว่าผู้สูงอายุจะมีส่วนร่วมในการเติบโตของกำลังแรงงานถึง 57% ในทศวรรษนี้ ฉากทัศน์นี้เตือนว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรวางแผนสำหรับการสร้างอาชีพให้คนรุ่นนี้ และทำเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ที่จริงจัง
นอกจากนี้ ช่วงปี 2030 - 2040 จะเป็นช่วงที่มีการทับซ้อนกันของกลุ่มคนรุ่นต่างๆ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ นี่ไม่ใช่บรรยากาศที่ดี องค์กรที่ไม่เตรียมพร้อม จะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว ทั้งในรูปแบบของการส่งมอบงานที่ล่าช้า การสรรหาพนักงานใหม่ที่ยากขึ้น ภาระงานที่มากเกินไปของผู้จัดการ และการลาออกที่ไม่จำเป็น
4. คนรุ่นใหม่ไม่อยากขึ้นตำแหน่งผู้นำ เกิดวิกฤติวัยกลางคนที่รุนแรงขึ้น
ผลสำรวจจาก Development Dimensions International (DDI) องค์กรที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้นำและประเมินศักยภาพบุคลากรระดับโลก พบว่า ในกลุ่มวัยทำงานคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่เริ่มทำงานแล้ว พวกเขามีแนวโน้มจะหลีกเลี่ยงบทบาทผู้นำมากกว่าคนรุ่นอื่นถึง 1.7 เท่า เพราะไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงกับความเครียดสะสม จนกระทบสุขภาพจิตระยะยาวในที่สุด
ขณะเดียวกัน งานวิจัยจาก Randstad USA แพลตฟอร์มหางานและที่ปรึกษาด้าน HR ชื่อดัง ก็ได้ทำการสำรวจวัยทำงานคนรุ่นใหม่ อายุ 18-67 ปี ใน 34 ประเทศ ซึ่งพบข้อมูลในทิศทางเดียวกันว่า 39% ของพนักงานรุ่นใหม่ ไม่ต้องการเลื่อนตำแหน่ง ขณะที่ 57% ยอมปฏิเสธงานที่กระทบสมดุลชีวิตกับงาน ผลสำรวจทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนว่า ความเครียดกำลังทำให้คนรุ่นใหม่ลังเลกับบทบาทงานใน "ตำแหน่งผู้นำองค์กร" มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงเท่านั้น แทนที่วัยทำงานคนรุ่นใหม่จะก้าวเดินอย่างมั่นใจไปสู่ปี 2026 แต่พวกเขาจำนวนมากกำลังดิ้นรนอย่างเงียบๆ กับสิ่งที่เรียกว่า วิกฤติวัยกลางคน ในอายุเพียง 25 ปี ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะเกิดเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้นกับคนรุ่นนี้ ตามรายงานของ FlexJobs 2026 Trends Report ชี้ว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานคนรุ่นใหม่ บอกว่า พวกเขาเคยประสบกับวิกฤติอาชีพในช่วงวัย 25 ปี และพนักงานที่อายุน้อยกว่ากำลังรู้สึกถึงวิกฤตินี้อย่างรุนแรง
สาเหตุเพราะพวกเขาไม่ได้รับการให้คำปรึกษาที่ดี หรือความยืดหยุ่นในงาน จึงเริ่มตั้งคำถามว่า พวกเขาอยู่ในบทบาทที่เหมาะสม บริษัทที่เหมาะสม หรือเส้นทางอาชีพที่ถูกต้องหรือไม่ และจากผลสำรวจที่พบว่า 65% ของพนักงานรู้สึกเครียดในแต่ละวัน และ 60% รู้สึกเบื่อหน่าย แสดงให้เห็นว่างานในปัจจุบันมีความวุ่นวายและไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างที่คาดหวัง
5. คำสั่งกลับเข้าออฟฟิศยิ่งเข้มงวด นายจ้างมองหาทักษะเฉพาะที่เข้มข้น
สงครามเย็นนโยบาย RTO หรือคำสั่งให้กลับเข้าออฟฟิศ ปีหน้าก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น แม้การทำงานทางไกลจะให้ความยืดหยุ่นที่หลายคนโหยหา แต่ดูเหมือนว่าจะมี "ราคาที่ต้องจ่าย" เป็นความก้าวหน้าในอาชีพ ข้อมูลบ่งชี้ว่า คะแนนโอกาสเติบโตของกลุ่มคนทำงานแบบ Hybrid และ Remote ลดน้อยลงอย่างน่าตกใจ
ด้านนายจ้างเองก็เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่าพนักงานที่เข้าออฟฟิศคือกลุ่มที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ (พิจารณาการเลื่อนขั้น) ปี 2026 จึงเป็นปีที่คนทำงานต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความอิสระในการใช้ชีวิต กับโอกาสในการขยับฐานะทางอาชีพ
ในขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานก็กำลังให้เกิดเทรนด์การจ้างงานแบบ Skills-First Hiring ซึ่งนี่ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ในปีหน้าคาดว่านายจ้างจำนวนมากเริ่มปรับเปลี่ยนเกณฑ์การคัดเลือกพนักงานระดับเริ่มต้น โดยให้ความสำคัญกับความสามารถที่แท้จริง มากกว่าประวัติการศึกษาเพียงอย่างเดียว
การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มผู้สมัครงาน เพราะผู้ที่ขยันอัปสกิลหรือเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ มีโอกาสได้รับเรียกสัมภาษณ์งานสูงกว่ากลุ่มที่ไม่อัปสกิลอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานในปี 2026 ก็มีด้านที่น่ากังวล โดยเฉพาะภาวะนิ่งสนิทที่กระทบต่อเด็กจบใหม่โดยตรง นักเศรษฐศาสตร์เรียกสถานการณ์นี้ว่าภาวะที่บริษัทไม่เลิกจ้างคนเก่าแต่ก็ไม่เปิดรับคนใหม่เพิ่ม
แม้จะดูเหมือนมีความมั่นคงสำหรับพนักงานเดิม แต่กลับกลายเป็นกำแพงสูงสำหรับบัณฑิตจบใหม่ที่ต้องเผชิญกับตลาดงานที่คัดเลือกคนอย่างเข้มงวดมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านจากรั้วมหาวิทยาลัยสู่โลกการทำงานจึงเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ต้องใช้ความอดทนและการเตรียมตัวที่มากขึ้นกว่าที่เคย
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่า AI จะก้าวล้ำเพียงใด หรือโครงสร้างองค์กรจะเปลี่ยนไปแค่ไหน "คุณค่าของความเป็นมนุษย์" ที่รู้จักปรับตัว มีความเห็นอกเห็นใจ และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ยังคงเป็นสิ่งที่ตลาดแรงงานโหยหาอยู่เสมอ ขอให้ปี 2026 ไม่ใช่ปีที่เรายอมจำนนต่อโชคชะตา แต่เป็นปีที่เราจะได้ "รีเซ็ต" ตัวเองให้แข็งแกร่งกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ว่าในโลกที่หมุนเร็วใบนี้ เราไม่ได้แค่ทำงานเพื่ออยู่รอด แต่เรากำลังเติบโตไปพร้อมกับบทเรียนบทใหม่ที่คุ้มค่ากว่าเดิม
อ้างอิง: Forbes, Employerbranding, All Work Space, Flexjobs, Fastcompany, bangkokbiznews







