ไอโชว์..ไอฉาว! พิษสวาท 'วีเจสาว' สูญเงินล้าน?

เปิดทุกแง่ทุกมุม! "ไอโชว์..ไอฉาว" พิษสวาท "วีเจสาว" สูญเงินล้าน?
กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ กรณีลูกชายตัวแสบแอบจิ๊บเงินในบัญชีของแม่ ไปแจก "วีเจสาว" ในแอพพลิเคชั่นชื่อดัง ทำให้เป็นเรื่องถึงขั้นต้องขึ้นโรงพักแจ้งจับลูกชายตัวเอง
เมื่อลูกชายสำนึกผิด ขอกราบขอโทษแม่บนโรงพัก และ "แม่ก็คือแม่" ไม่ติดใจเอาความ แต่ขอให้เลิกรากับหญิงคู่กรณี ซึ่งลูกชายก็ตัดใจยอมฟังคำแม่ แต่ยังเหลือความสงสัยว่า เงิน1.2ล้าน เอาไปให้หญิง หรือไปใช้อะไรกันแน่
"ขอเพียงให้ลูกกลับตัว เลิกติดต่อกับวีเจสาวคนนี้ และไม่ได้ติดใจที่จะเรียกร้องทวงเงิน..แต่ก็อยากให้วีเจสาวมาพูดคุยว่า ได้เงินจากลูกไปเท่าไหร่ เงินหายไปไหน" คำพูดของนางศิริกานต์ ศิรสิทธิ์ดำรงกิจ แม่ค้าขายของชำที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
ด้านลูกชาย ระพีพัชร ศิรสิทธิ์ดำรงกิจ เปิดเผยว่า หลังจากที่แม่ยอมที่จะไม่เอาเรื่องก็รู้สึกสำนึกผิดแล้ว และมาทบทวนแล้วว่า สิ่งที่ทำมามันไม่ถูกต้อง และเป็นความหลงใหลในขณะนั้น ส่วนเรื่องการโอนเงินไปให้วีเจสาวออนไลน์นั้น ยอมรับว่า ไม่ได้ให้วีเจสาวคนนี้คนเดียว แต่ได้ให้ก่อนหน้านี้อีกหลายคน จากการเชียร์ของคนในกลุ่มและเพื่อนๆในกลุ่ม ซึ่งเงินที่จ่ายนั้นให้ด้วยการแลกซื้อเหรียญผ่านแอปปลิเคชั่น เพื่อซื้อของขวัญในแอปนั้น เช่น ซื้อนมกล่อง 500 คอน หรือเหรียญ กดไล้ค์ 500 เหรียญ พิเศษรูปหัวใจ 399,900 เหรียญ ที่แพงสุดคือ ดอกไม้ 899,900 เหรียญ ซึ่งแต่ละเหรียญเมื่อถูกแลกเป็นเงิน ก็จะมีค่าเป็นเงินบาท
"กดส่งของขวัญให้ไปมาก จนมาถึงการโอนเงินให้ส่วนตัวกับวีเจสาวเงินจึงดูมากมาย โดยเริ่มมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้จ่ายทั้ง 1.2 ล้าน แต่จะนำเงินไปใช้ส่วนตัวด้วย..ยอมรับเขาเป็นแฟน เพราะวีเจสาวคนนี้ได้สัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้แม่ไม่ยอมรับตนก็ต้องยอมยุติความสัมพันธ์ ส่วนวีเจสาวจะไม่มีเยื่อใยกับตนแล้วก็ไม่ว่าอะไร และไม่ติดใจอะไรกัน ซึ่งขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียน ให้รู้ว่าในโลกของโซเชียล ไม่มีความจริงใจกัน"
ส่วน วีเจสาวไอโชว์ หรือ น.ส.โฟว์ ที่ตกเป็นข่าวนั้น ออกมาเปิดโปงข้อเท็จจริงว่า ได้รับเงินโอนเป็นค่าเล่นเกมส์และค่าเติมเงินจากนายระพีพัฒน์ตั้งแต่เดือน มี.ค.จนถึงเกิดเรื่องล่าสุดรวมแล้วประมาณ 3.8 แสนบาทเท่านั้น ไม่ใช่ 1.2 ล้านบาทตามที่เป็นข่าว
จากนั้นก็ติดต่อกันทางเฟสบุ๊คและทางไลน์คุยกันตั้งแต่เดือน มี.ค.จนมา นัดเจอตัวกันครั้งแรกวันที่ 18 เม.ย.ตอนนั้นขับรถกลับจากบ้านทางเหนือ เลยซื้อของฝากให้พี่เขาแล้วแวะให้ที่ปั๊มน้ำมันถนนสายเอเซีย
ต่อมาช่วงหลังมีการคุยกันส่วนตัวและได้เจอกัน แต่ก็ไม่บ่อยนักประมาณ 3-4 ครั้ง จะเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่กำลังศึกษาดูใจก็ว่าได้ หรือจะเรียกว่าคบเป็นแฟนก็ใช่ ซึ่งการที่จะนัดเจอกันหรือจะมาคบข้างนอก ก็ไม่เกี่ยวกับแอพพริเคชั่น ไม่เกี่ยวกับบริษัท เป็นความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย เหตุผลที่ยอมเจอฝ่ายชาย เพราะเป็นช่วงที่คบกัน ถ้าคิดตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่พี่เขาเล่นเกมส์ก็โอนมาเรื่อยๆ 5 หมื่นบาทบ้าง เติมเงิน 3 หมื่นบาทบ้าง
"หนูจะบอกว่า คนที่ส่งของขวัญให้หนู ไม่ได้มีเขาคนเดียว มันไม่ได้เกี่ยวว่า เหตุยอมไปเจอเพราะเขารวย คนที่ส่งให้เยอะกว่า เขาก็มี โดยเฉพาะพวกเสี่ยๆหลายคน ให้มากกว่าเขาอีก"
ส่วนจะกลับไปทำงานตรงนั้นอีกไหม คงยากแล้วเพราะตอนนี้สังคมก็ประนามตนเองและมีคอมเม้นท์ค่อนข้างแรง คงไม่กล้ากลับไปจัดรายการอีก
ขณะที่ ไพบูลย์ อมรภิโญญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายคอมพิวเตอร์ ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ กล่าวถึงแอพพลิเคชั่นไอโชว์ที่กำลังเป็นกระแสข่าวขณะนี้ ว่า จะถือเป็นภัยกับสังคมหรือไม่ ต้องดูว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ บางอย่างอาจจะผิดศีลธรรมแต่ไม่เข้าข้อกฎหมาย เมื่อเข้าไปดูหากพบว่ามีการหลอกลวงและล่อลวงก็จะมีกฎหมายอาญาเรื่องการฉ้อโกงประชาชน หากมีภาพล่อแหลงอาจจะมีเรื่องลามกอนาจาร หรือหากเผยแพร่ข้อความที่ไม่เหมาะสมอาจจะผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตาม หากสมัครใจก็ไม่ถือเป็นฉ้อโกง แต่หากล่อแหลมอนาจาร หรือมีข้อเสนอบางอย่างก็อาจจะเข้าข่ายกฎหมายอาญา ขอยกตัวอย่างแคมฟร็อก ที่ผิดกฎหมาย เรามีกฎหมายหลายส่วน หากไอโชว์ สามารถดูผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคมก็อาจจะมีกฎหมายโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง
ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า กรณีหนุ่มขโมยเงินแม่มาให้วีเจ หากเป็นการขโมยเงินพ่อแม่มาโอนไป ต้องดูพฤติการณ์ว่าหลอกลวงหรือไม่ก็ต้องมีอาญา และหากรู้ว่าเป็นการขโมยมาก็อาจจะเข้าข่ายรับของโจร อย่างไรก็ตา พ.ร.บ.คอมพ์ฯใหม่จะมีเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีก็อาจจะปิดบล็อกได้ ซึ่งหากมีคนไปร้องกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) ก็อาจจะปิดได้จากการเผยแพร่สิ่งที่ไม่เหมาะสม ตามกฎหมายปัจจุบันที่เรามี เรื่องปรับใช้เป็นกรณีๆไป คนที่เป็นเจ้าของแอพพลิเคชั่นอาจถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งต้องดูในรายละเอียด แล้วหากมีคนที่อายุต่ำกว่า 20 ก็อาจจะมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและเยาวชนอีกข้อหา
ส่วนความเห็นของ พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผบก.ปอท. มองกรณีนี้ว่า เป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ใดๆ หากเห็นว่า เป็นการฉ้อโกงหรือถูกหลอกลวง ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ เพราะเป็นคดีทางอาญา แต่กรณีลักษณะนี้ ปอท. ไม่สามารถเข้าไปควบคุมดูแลได้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนที่มีสิทธิเข้าไปดูอะไรก็ได้ในโซเชียลมีเดีย เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ก่อนหน้าที่นั้น เขามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง หากก้าวล้ำมากเกินไปก็จะถูกสังคมหาว่า ล่วงละเมิดสิทธิ
"ที่ผ่านมาได้แต่แนะนำฝากย้ำเตือน ประชาสัมพันธ์การใช้สื่ออนไลน์ในโลกโซเชียลอย่างระมัดระวัง ต้องมีวิจารณญาน อย่าเชื่ออะไรโดยง่าย ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้อื่น โลกโซเชียลทุกวันนี้มันเป็นโลกของตัวตน เป็นโลกเสมือนจริง การที่เราจะเข้าไปควบคุมดูแลเป็นเรื่องยาก หากเข้าไปมากก็หาว่าไปลุกล้ำสิทธิส่วนบุคคล แต่พอไม่มีใครเข้าไปควบคุมดูแล พอมีเคสเกิดเรื่องขึ้นมาจนเป็นข่าวก็จะให้เราเข้าไปควบคุม ผู้ปฏิบัติเลยไม่รู้ว่า จุดตรงกลางอยู่ตรงไหน เพราะทุกคนต่างมีสิทธิเสรีที่จะเข้าไปดูอะไรก็ได้ทั้งนั้นในโลกโซเชียล ผมมองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับเคสนี้ไม่ใช่เป็นการหลอกลวง น่าจะเป็นเรื่องของการสมยอมมากกว่า เพราะคนที่เป็นลูกก็อายุเกิน 20 ปีบรรลุนิติภาวะแล้ว เรื่องที่มีการแจ้งความกันก็เป็นเรื่องระหว่างแม่กับลูก ” ผบก.ปอท.กล่าว
อย่างไรก็ตาม สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความและประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า ลูกชายตัวแสบลักเงินสดของแม่ไปให้สาววีเจที่อยุธยา คดีนี้ แม่บังเกิดเกล้ามีความจำเป็นจะต้องดำเนิน คดีอาญากับลูกชายตัวเองในความผิดฐานลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 334
โดยลูกชายตัวแสบนี้ได้นำเงินสดที่ได้ลักเอาไป จากแม่บังเกล้านั้นไปให้สาววีเจคนหนึ่งรวมแล้วก็ ประมาณ1.2 ล้านบาท มีหลายท่านสอบถามมากันมากว่าท่านอาจารย์ สงกานต์จะให้คำแนะนำช่วยเหลือแม่บังเกิดเกล้า คนนี้ได้อย่างไรดี? แม่ถึงจะได้เงินคืนจากวีเจสาว
ตอบชัดๆ ให้แม่บังเกิดเกล้ารายนี้หลังจากดำเนินคดี อาญากับลูกชายตัวแสบในความผิดอาญาฐาน "ลัก ทรัพย์" แล้วนั้นก็ให้ดำเนินคดีอาญากับวีเจสาวในฐานความผิด "รับของโจร" ด้วยตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 357 เพราะเงินที่ให้วีเจสาวนั้นถือว่าเป็น ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดอาญาจาก การ "ลักทรัพย์" ของมารดา
ปกติแล้วในความผิดอาญาฐานลักทรัพย์นั้นเป็น ความผิดอันมิอาจยอมความได้แต่ในกรณีนี้เป็นความผิดระหว่างบุตรกระทำต่อมารดาของตนนั้นก็สามารถยอมความกันได้อันเป็นข้อยกเว้นตามกฏหมาย
อนึ่ง ในความผิดอาญาฐาน "ลักทรัพย์" ในคดีนี้นั้นจะ ยอมความได้นั้นเฉพาะบุตรชายตัวแสบกับมารดา เท่านั้น ส่วน"วีเจสาว"หากถูกดำเนินคดีอาญาในฐานความผิด "รับของโจรนั้น" ไม่อาจยอมความได้
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ "ผู้เสียหาย" คือแม่และลูกต่างเข้าอกเข้าใจกันแล้ว และไม่ติดใจเอาความ ยังถือเป็นเรื่องบทเรียนชีวิตอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ย่อมเป็นอุทาหรณ์สอนใจ "ชาวออนไลน์" จะจ่ายมากหรือน้อยในโลกเสมือนจริงก็ตาม มันอาจมิได้ "ความจริง-ความรัก" อย่างที่จ่ายเงินเพื่อแลกมา..หรือไม่จริง!?







