ศาลยกฟ้อง 'ศักดิ์ชัย กาย' คดีปลอมเอกสาร

พิพากษายกฟ้อง "ศักดิ์ชัย กาย" คดีตระกูล "ณ ป้อมเพ็ชร์" ฟ้องปลอมเอกสารถอนเงินกว่า 158 ล้านบาท ชี้หลักฐานไม่ชัด ขณะที่คำฟ้องขาดอายุความ
ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 31 มี.ค.59 เวลา 09.00 น. ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1201 /2557 พล.ต.ต.เพ็ชร์ ณ ป้อมเพ็ชร์ โดย น.ส.นพมาศ ณ ป้อมเพ็ชร์ ฐานะผู้อนุบาล เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายศักดิ์ชัย กาย บรรณาธิการบริหารนิตยสารชื่อดัง เป็นจำเลย ในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตาม ประมวลกฎหมาย 264 , 266 , 268
ตามฟ้องโจทก์ บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค.43 จำเลยได้ปลอมใบถอนเงิน ธ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์แล้ว นำไปถอนเงินจำนวน 158,330,000 บาทในรูปของแคชเชียร์เช็คแล้วนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้เมื่อเป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือฝ่าฝืนคำสั่งจากโจทก์ และนำไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์
โดย น.ส.นพมาศ ณ ป้อมเพ็ชร์ พยานโจทก์เบิกความคิดว่าจำเลยได้กระทำผิด เพราะตรวจสอบบัญชีเงินฝากของโจทก์แล้วพบว่ายอดเงินในบัญชีลดลงเหลือเพียงเล็กน้อย แต่ทางนำสืบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ เคยบอกเล่าการกระทำของจำเลยให้พยานฟังโดยตรงด้วยตนเอง หรือเคยโต้แย้งการเบิกถอนเงินจำนวนมากออกจากบัญชีของโจทก์
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมของโจทก์และจำเลยแล้วฟังได้ว่า พล.ต.ต.เพ็ชร โจทก์และจำเลยมีความสนิทสนมกันมาก ถึงขนาดโจทก์รักและไว้ใจจำเลยมอบหมายให้ดูแลจัดการทุกอย่างภายในบ้าน รวมทั้งดูแลเรื่องการเงินมานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541- 2553
นอกจากนี้ทางนำสืบ ยังมีพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาศรีนครินทร์ เบิกความเกี่ยวกับวิธีการสั่งจ่ายเงินตามใบถอนเงินว่า กรณีที่ไม่มีการมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้มาเบิกถอนเงินเจ้าของบัญชีจะต้องมาเบิกถอนด้วยตัวเอง ส่วนใบถอนเงินนั้นจะกรอกข้อความให้ก็ได้แต่เจ้าของบัญชีจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง โดยธนาคารจะเป็นผู้ตรวจสอบลายมือชื่อในใบถอนเงินเปรียบเทียบกับตัวเองลายมือชื่อที่เจ้าของบัญชีเคยให้ไว้ตอนเปิดบัญชีเงินฝาก หากตรงกันธนาคารก็จะจ่ายเงินให้ จึงแสดงให้เห็นว่า ขั้นตอนการถอนเงินมีความเข้มงวด ขณะที่ น.ส.นพมาศ ก็ไม่มีหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ในการถอนเงิน มาแสดงต่อศาล ทั้งที่สามารถขอได้จากธนาคาร แสดงให้เห็นว่าในการเบิกถอนเงินดังกล่าวโจทก์ได้เดินทางไปเบิกเงินด้วยตัวเอง พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังได้ว่า เป็นใบถอนเงินปลอม
ส่วนที่ น.ส.นพมาศ เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยได้ดูแลโจทก์ซึ่งป่วยมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ก็มีเพียงประวัติการรักษาที่ระบุว่าโจทก์เข้ารักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง พยานหลักฐานดังกล่าวไม่อาจบ่งชี้ได้ว่าโจทก์ป่วยถึงขั้นไม่ยินยอมให้ผู้อื่นกรอกข้อความในใบถอนเงินและเช็คตามฟ้องอย่างไร
สำหรับใบรับรองแพทย์ ที่ว่าไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ก็เป็นหนังสือที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.55 ภายหลังเกิดเหตุแล้วหลายปี ไม่อาจนำมาอ้างเพื่อพิจารณาความผิดของจำเลยได้ จึงแสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์มอบทรัพย์สินส่วนมากให้จำเลย
ประกอบกับคำเบิกความของแพทย์ที่รักษาโจทก์และเอกสารใบรับรองแพทย์ระบุว่า วันที่มอบทรัพย์ให้นั้น โจทก์มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและทำหนังสือแสดงเจตนาตามความประสงค์ของโจทก์จริง จึงเชื่อว่าการจ่ายเงินเป็นไปตามความประสงค์ที่แท้จริงของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชี
พยานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่อาจฟังได้ว่าเช็ค และใบถอนเงินเป็นเอกสารปลอม เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่าเช็คและใบถอนเงินเป็นเอกสารปลอม ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะนำไปใช้แสดงต่อธนาคารก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จึงยังไม่ได้ว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอม
และที่ระหว่างพิจารณาคดี ขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ศาล เห็นว่าใบถอนเงินเป็นเอกสารที่ก่อให้เกิดสิทธิในการรับเงินจากธนาคารซึ่งเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ไม่ใช้ตั๋วเงิน การพิจารณาว่าการอายุความหรือไม่ จึงพิจารณาถึงอายุความสูงสุดที่จะในบทลงโทษที่ฟ้อง ซึ่งความผิดที่ฟ้องมีอัตราโทษสูงสุดไม่เกิน 5 ปีจึงมีอายุความ 10 ปีนับแต่วันที่กระทำความผิด
แต่เมื่อโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยในวันที่ 12 พ.ค.57 จึงเป็นการฟ้องที่ขาดอายุความแล้ว และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมเอกสารโดยการกรอกข้อความลงในถอนเงินที่มีชื่อโจทก์ แต่ก็ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และไม่ได้ระบุว่าจำเลยนำไปใช้เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือผู้ใดนั้น คำฟ้องโจทก์ จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 264 วรรคสองด้วย จึงพิพากษายกฟ้องจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ศักดิ์ชัย กาย เดิน ทางมาศาลพร้อมทนาย และเมื่อฟังคำพิพากษาแล้ว บรรณาธิการบริหารนิตยสารชื่อดัง ได้เดินทางกลับทันที







