ยันแผ่นดินไหวไทย ไม่หนักเท่าเนปาล

ยันแผ่นดินไหวไทย ไม่หนักเท่าเนปาล

หัวหน้าศูนย์วิจัยภัยพิบัติแผ่นดินไหว มช. ยันไทยมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวตลอดเวลา แต่ไม่รุนแรงเหมือนเนปาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาดรุนแรง 7.8 แมกนิจูด ที่ประเทศเนปาล เวลา 11.56 น.เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายพันคน และเป็นกระแสข่าวที่ทั่วโลกตื่นตัวติดตามความคืบหน้ากันอย่างใกล้ชิดรวมถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างเข้มข้น

รศ.ดร.สัมพันธ์ สิงหราชวราพันธ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าศูนย์วิจัยภัยพิบัติแผ่นดินไหว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวระดับ 7.8 ที่ประเทศเนปาลนั้น เกิดจากการเลื่อนของรอยเลื่อนย้อน ซึ่งรอยเลื่อนดังกล่าวนี้อยู่ใต้แนวเทือกเขาหิมาลัยตลอดแนวและเกิดจากการที่อนุทวีปอินเดียส่วนที่เป็นเปลือกโลกเคลื่อนตัวขึ้นทิศเหนือด้วยอัตราปีละประมาณ 4 เซนติเมตรแล้วดันเข้าไปชนกับทวีปเอเชียที่เป็นส่วนของแผ่นธรณีที่เรียกว่ายูเรเซีย ดังนั้นการที่อินเดียเคลื่อนที่ขึ้นไปแล้วไปเจอใส่ยูเรเซีย ทำให้แผ่นที่เคลื่อนเสียบเข้าไปด้านใต้

โดยส่วนที่เสียบเข้าไปนั้นเป็นระนาบรอยต่อหรือที่เรียกว่ารอยเลื่อนย้อน และการที่อินเดียเคลื่อนที่เข้าไปส่วนที่อยู่ข้างใต้หุบเขาหิมาลัยทำให้ส่วนที่ถูกดันมาติด แต่ครั้งนี้ส่วนที่ติดนั้นมีขนาดใหญ่ เมื่อมันติดจึงทำให้เกิดแรงสะสมในโซนที่ยึดติด จนกระทั่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้หินแตกแล้วเลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแรงสะสมที่มหาศาลเมื่อหลุดออกมาจึงเกิดเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ถึงขนาด 7.8 แมกนิจูด เช่นเดียวกับลักษณะแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นใกล้ๆ กรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของประเทศอินเดีย เพียง 80 กิโลเมตร ลึกจากผิวดินราว 15 เมตร

ทั้งนี้ รอยเลื่อนอนุทวีปอินเดียนั้นเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาและทรงพลังอย่างยิ่งเห็นได้จากรอยเลื่อนดังกล่าวทำให้เกิดเป็นเทือกเขาหิมาลัย รวมทั้งภูเขาเอเวอร์เรส และที่ราบสูงทิเบต ซึ่งรอยเลื่อนดังกล่าวมีขนาดใหญ่ยักษ์วัดจากตะวันตกไปถึงตะวันออก กินอาณาเขตตั้งแต่ประเทศปากีสถานมาจนถึงสหภาพเมียนม่าร์ ยาวเกือบ 3,000 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ก็ตระหนักดีว่าจะต้องมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และไม่ได้มีการป้องกัน หรือเตรียมพร้อมรับมืออย่างถูกต้อง

ขณะที่ ในส่วนของประเทศไทยของเรานั้นลักษณะทางธรณีวิทยา ลักษณะจะต่างไปจากประเทศเนปาล เนื่องจากของประเทศเนปาลนั้นเป็นลักษณะรอยเลื่อนย้อนขนาดใหญ่ แต่ของประเทศไทยนั้นเท่าที่พบจะเป็นรอยเลื่อนลักษณะเลื่อนตามแนวระนาบ และมีขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดสูงสุดประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร ส่วนในภาคเหนือที่พบยังอยู่ในระดับหลัก 10 ถึงหลัก 100 กิโลเมตร อย่างเช่นรอยเลื่อนที่ อำเภอแม่จัน และ อำเภอแม่ลาว ใน จังหวัดเชียงราย ที่เพิ่งเกิดเมื่อปีที่แล้ว ขนาด 6.3 แมกนิจูด และอีกจุดคือลอยเลื่อนเมย บริเวณตั้งแต่อำเภอแม่สอด ผ่านทางทิศใต้ของ จังหวัดตาก ซึ่งถือเป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่พอสมควร ซึ่งในอดีตก็เคยมีการเกิดแผ่นดินไหว อย่างของ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา ที่มีความชัดเจนอย่างมาก

รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวว่า ในประเทศไทยโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้น ยังคงมีอยู่เสมอ เช่นกัน แต่จะมีความรุนแรงอยู่ในระดับเพียงแค่ 6 แมกนิจูดกว่าๆ และใหญ่ที่สุดไม่เกิน 7 แมกนิจูด ซึ่งยังคงมีความแปรผันไปตามขนาดของรอยเลื่อนและลักษณะของรอยเลื่อนด้วย หากเทียบกับการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศเนปาลนั้นโอกาสที่จะเกิดในประเทศไทยค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในพื้นที่ใกล้เคียง เท่าที่มีการตรวจสอบพบว่ามีการเคลื่อนตัวที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับของประเทศเนปาล ต่อปีอาจมีเพียงประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมพร้อมรับมือ อย่างถูกต้อง กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อทราบว่าเมื่อไทยมีโอกาสที่จะเจอกับแผ่นดินไหวได้ในระดับ 7 ก็สามารถออกมาตรการ บังคับให้ทุกอาคาร จะต้องรองรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในระดับ7ได้ จะต้องไม่พังทลายเมื่อเกิดแผ่นดินไหวเนื่องจากอาคารโดยเฉพาะอาคารที่มีความสูง จะมีผลกระทบสร้างความเสียหายรุนแรงอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้คนที่อยู่ภายใน เมื่อเกิดการพังทลาย หากทุกอาคารมีมาตรฐานความเสียหายก็จะลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ เมื่อปี 2547 ประเทศไทยก็มีการตื่นตัวและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องรอยเลื่อนมากขึ้น ปัจจุบันทางด้านของวิศวกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ก็ได้มีการเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องของมาตรฐานสิ่งปลูกสร้างและอาคารที่จะต้านแรงแผ่นดินไหว หรือรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวในระดับ 6.5 แมกนิจูดได้ รวมทั้งมีการฝึกซ้อมแผนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วยังได้มีการเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในที่เกิดเหตุ กรณีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างเข้มข้น