"โรคฝีดาษลิง" น่ากลัวแค่ไหน? อาจารย์เจษฎ์ชี้สาเหตุ-อาการของโรค-วิธีรักษา
!["โรคฝีดาษลิง" น่ากลัวแค่ไหน? อาจารย์เจษฎ์ชี้สาเหตุ-อาการของโรค-วิธีรักษา](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2022/05/N9NTET9aNPP83QilRZ46.webp?x-image-process=style/LG)
"โรคฝีดาษลิง" น่ากลัวแค่ไหน? อาจารย์เจษฎ์ชี้ต้องจับตามอง พร้อมอธิบายสาเหตุการเกิด อาการของโรค และวิธีรักษา
วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 จากกรณีที่หลายคนผวา "โรคฝีดาษลิง" หลังพบการระบาด ล่าสุดอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์อธิบายผ่านเฟซบุ๊ก "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์"
โดย อาจารย์เจษฎา ระบุว่า โรคฝีดาษในลิง (monkeypox) ยังไม่น่ากังวล แต่ควรจับตามอง ตามเสียงเรียกร้องครับว่าขอให้เขียนบทความเกี่ยวกับข่าวเรื่อง "โรคฝีดาษลิง" ที่เป็นข่าวหน่อยว่ามันยังไงกันแน่ เราต้องกลัวแค่ไหน?
สถานการณ์การระบาด "โรคฝีดาษลิง" อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ระบุว่า เป็นโรคหายาก เกิดจากไวรัสที่เป็นญาติกับโรคฝีดาษ (smallpox) ทำให้เป็นไข้ มีฝีหนองคันเกิดขึ้นตามผิว และอาจทำให้เสียชีวิตได้
ปรกติ "โรคฝีดาษลิง" จะพบในทวีปแอฟริกา และมักพบในสัตว์ แต่ไม่นานมานี้มีรายงานข่าวการตรวจพบในบางประเทศยุโรป ซึ่งโปรตุเกส รายงานว่าพบเคสยืนยันแล้ว 5 ราย และต้องสงสัยอีก 15 ราย โดยพบในกรุงลิสบอน ทุกรายเป็นผู้ชาย และส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม มีแผลตามผิวหนังแต่อาการยังไม่รุนแรง
ขณะที่ สหราชอาณาจักร รายงานพบทั้งหมด 7 ราย จากกลุ่มชายที่เป็นเกย์และไบเซ็กชวล ในกรุงลอนดอน ส่วน สเปน พบต้องสงสัย 8 ราย และรอการพิสูจน์ยืนยันผล
สำหรับจุดเริ่มต้นการระบาดโรคฝีดาษลิง อาจารย์เจษฎาระบุว่า เริ่มมีรายงานในสหราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง ที่บินกลับมาจากประเทศไนจีเรีย หลังจากนั้นจึงพบอีก 6 รายตามมา ซึ่งพบว่ามี 4 รายที่น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน จากการที่เป็นเกย์หรือไบเซ็กชวล และมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายและชาย
ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานพบโรคฝีดาษลิงในสหราชอาณาจักรมาแล้ว 3 ราย โดย 2 รายนั้นอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และอีกรายเคยเดินทางไปไนจีเรีย
อาการของโรคฝีดาษลิง
- โรคฝีดาษลิง เป็นญาติกับโรคฝีดาษในคน แต่แพร่ระบาดได้ยากกว่า มีอาการรุนแรงน้อยกว่า และทำให้เสียชีวิตได้น้อยกว่า
- มักจะมีอาการป่วยนาน 2-4 สัปดาห์ และมีระยะฟักตัว (ตั้งแต่ติดเชื้อจนมีอาการ) ประมาณ 5-21 วัน
- มีอาการป่วยปนกันระหว่างเป็นไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง หนาวสั่น เหนื่อย และต่อมน้ำเหลืองบวม (ซึ่งเป็นจุดแตกต่างสำคัญจากโรคฝีดาษในคน)
- เมื่อเริ่มเป็นไข้ จะมีตุ่มคันที่ดูน่ากลัวเกิดขึ้นใน 1-3 วัน โดยมักเริ่มที่ใบหน้า และกระจายไปตามร่างกาย บางคนอาจขึ้นไม่เยอะ แต่บางคนอาจมีหลายพันตุ่ม ซึ่งจะนูนใหญ่ขึ้น มีหนองข้างในเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จน "สุก" และแตกเป็นแผล
ที่มาของชื่อโรคฝีดาษลิง อธิบายคือ ไวรัสโรคฝีดาษลิง อยู่ในสกุล ออร์โทพ็อกซ์ไวรัส (Orthopoxvirus) ของวงศ์ พ็อกซ์วิริดี้ Poxviridae (คำว่า pox หมายถึง ฝีหนอง) ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ในการระบาดของโรคที่คล้ายฝีดาษ ซึ่งเกิดในห้องแล็บวิจัยที่เลี้ยงลิงไว้
แม้ไม่ได้มีหลักฐานว่าลิงเป็นสาเหตุของการระบาดครั้งนั้น แต่คนก็เอาไปตั้งชื่อโรคว่า "ฝีดาษลิง" ไปแล้ว กระทั่งปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก คาดว่าสัตว์ตามธรรมชาติที่เป็นพาหะของโรคนี้ จริง ๆ น่าจะเป็นพวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู และกระรอกในป่าของแอฟริกา
พื้นที่การระบาดโรคฝีดาษลิง
การระบาดของ "โรคฝีดาษลิง" ในคนนั้นมักพบในพื้นที่ป่าเขตร้อนของแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก โดยมีรายงานครั้งแรกปี ค.ศ. 1970 จาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และต่อมาพบในประเทศอื่น ๆ อีก 11 ประเทศ
พบการระบาดนอกทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2003 นี้เอง ในประเทศสหรัฐอเมริกา จากการนำเข้าสัตว์ที่ติดเชื้อ จากนั้นในปี 2018 และ 2019 ประเทศสหราชอาณาจักรตรวจพบโรคในนักท่องเที่ยว 2 คน ซึ่งเป็นชาวอิสราเอลและชาวสิงคโปร์ ที่เคยเดินทางไปประเทศไนจีเรีย
การติดต่อของโรคฝีดาษลิง เราสามารถติดเชื้อไวรัสโรคนี้จากสัตว์ที่ติดเชื้อได้ ทั้งจากการที่ถูกสัตว์กัดหรือข่วน และจากการกินเนื้อของมัน ส่วนการติดจากคนที่ติดเชื้อเกิดได้โดยการสัมผัสกันโดยตรง หรือจับเสื้อผ้าที่นอนที่ปนเปื้อนเชื้อ
ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านรอยแผลบนผิวหนัง หรือระบบทางเดินหายใจ หรือเนื้อเยื่อที่มีเมือก เช่น ดวงตา จมูก ปาก ส่วนใหญ่การแพร่จากคนสู่คนจะผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่จากทางเดินหายใจ เช่น หยดน้ำลาย ทำให้เชื้อมักเดินทางไปไม่ไกลนัก จึงต้องเว้นระยะห่าง ในช่วงใบหน้าต่อใบหน้า (face to face)
แต่จากการระบาดที่พบตอนหลังนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า การมีเพศสัมพันธ์ก็มีโอกาสจะแพร่เชื้อได้ เนื่องจากกิจกรรมทางเพศนั้นทำให้คนทั้งสองมาอยู่ใกล้ชิดกัน
"โรคฝีดาษลิง" น่ากังวลแค่ไหน?
- โรคฝีดาษลิงมักจะไม่ได้มีอาการป่วยรุนแรง และคนส่วนใหญ่จะฟื้นตัวได้ในไม่กี่สัปดาห์ และการที่โรคไม่ได้ระบาดแพร่กระจายโดยง่าย ก็ทำให้ความเสี่ยงต่อสาธารณะลดต่ำลงไปมากด้วย
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงในประเทศอังกฤษตอนนี้ พบว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ซึ่งมีความรุนแรงต่ำกว่าสายพันธุ์แอฟริกากลาง โดยมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 1% (ถ้าเป็นสายพันธุ์แอฟริกากลางจะเป็น 10% และถ้าโรคฝีดาษคน จะมากถึงประมาณ 30%)
- โอกาสเสียชีวิตจะสูงขึ้นถ้าผู้ป่วยเป็นเด็ก คนหนุ่มสาว และคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่มีความเสี่ยงจะป่วยรุนแรง
- สตรีมีครรภ์ที่ติดโรคฝีดาษลิงอาจจะประสบปัญหาในการตั้งครรภ์ และแท้งบุตรขณะคลอดได้
- ปัญหาหนึ่งของโรคนี้คือ ผู้ป่วยที่มีอาการน้อย ๆ อาจจะไม่รู้ตัวว่าติดโรคอยู่ และทำให้แพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้
วิธีรักษาและป้องกันโรคฝีดาษลิง
"โรคฝีดาษลิง" ไม่มีวิธีรักษาโดยเฉพาะ และส่วนใหญ่โรคจะหายไปเอง เชื่อกันว่า "วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ" นั้นมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคฝีดาษลิงไปด้วย แต่เนื่องจากโรคฝีดาษได้ถูกกำจัดหมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน ทำให้ตอนนี้ ไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษสำหรับประชาชนเหลืออยู่อีกต่อไป
แต่มีการพัฒนาวัคซีนใหม่สำเร็จแล้ว โดยบริษัท Bavarian Nordic สำหรับป้องกันทั้งโรคฝีดาษในคน และโรคฝีดาษลิง โดยได้รับการรับรองแล้วจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยจะใช้ชื่อการค้าว่า Imvanex, Jynneos และ Imvamune ตามลำดับ ส่วนยาต้านไวรัสกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา
ภาพและข้อมูลจาก : www.euronews.com