เที่ยว ‘จังหวัดสุราษฎร์ธานี’ คีรีรัฐ...หินพัด-นิลเปา
‘คีรีรัฐ’ อาจจะมีอะไรไม่มากในแง่แหล่งท่องเที่ยว แต่เมื่อได้มาเห็น ผมว่า คนที่มาเยือนก็ไม่ผิดหวังหรอกครับ เพราะที่นี่เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เลยชวนมาเที่ยว ‘จังหวัดสุราษฎร์ธานี’
อำเภอคีรีรัฐนิคม เป็นอำเภอหนึ่งของ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ผมไม่ค่อยได้เขียนถึงบ่อย แม้จะเคยไปมาแล้ว 2-3 ครั้งก็ตาม แต่ครั้งนี้มีความตั้งใจอยากจะเขียนถึง
ผมไปดูประวัติของที่นี่มาจากเวบไซค์ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เขาให้ประวัติคีรีรัฐนิคมคร่าวๆว่า
“...จากหลักฐานด้านโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า ในท้องที่ อำเภอคีรีรัฐนิคม ปัจจุบันเคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคหินใหม่เป็นต้นมา ดังที่มีการค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ยุคดังกล่าวที่คีรีรัฐนิคมด้วย เนื่องจากคีรีรัฐนิคมตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 60-70 กิโลเมตร
อยู่ในเส้นทางคาบสมุทรจากเมืองไชยาไปเมืองตะกั่วป่า และมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือ ดีบุก ไม้ และของป่า ทำให้คีรีรัฐนิคมมีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นชุมชนขนาดใหญ่ได้ด้วยปัจจัยสองประการ คือ
ประการแรก เกิดจากการตั้งด่านสำหรับขนถ่ายสินค้าและคนโดยสารข้ามคาบสมุทรจากฝั่งตะวันตก ประการที่สอง เกิดจากการเป็นแหล่งผลิตดีบุก ไม้ และของป่า จึงมีราษฎรอพยพโยกย้ายเข้าไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นมา ในพุทธศตวรรษที่ 13 อำเภอคีรีรัฐนิคมรวมอยู่ในอาณาจักรศรีวิชัย เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมลง ดินแดนแห่งศรีวิชัยได้แยกออกเป็น 3 เมือง คือ
- เมืองไชยา ตั้งอยู่ในอำเภอไชยาปัจจุบัน
- เมืองท่าทอง ตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำท่าทองอุแท อำเภอกาญจนดิษฐ์ในปัจจุบัน
- เมืองคีรีรัฐนิคม ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายคลองพุมดวง อันเป็นที่ตั้งอำเภอคีรีรัฐนิคมในปัจจุบัน...“
อ่านดูแล้วท่านผู้อ่านอาจจะต้องปะติดปะต่อเรื่องนิดหนึ่ง ยิ่งถ้าได้ดูประกอบกับแผนที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็จะเห็นว่า คีรีรัฐนิคม นั้น อยู่เกือบจะใจกลางของพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์เลยก็ว่าได้ ซึ่งเรารู้กันอยู่แล้วว่า สุราษฎรนั้น มี อ.พุนพินเป็นชุมชนที่มีความจริญเก่าแก่ ก่อนความเจริญจะขยายไปทางตัวเมืองสุราษฎร์ในปัจจุบัน
ส่วน คีรีรัฐนิคม ตามประวัติที่ยกมาให้ดู ก็เป็นชุมชนดั้งเดิมที่มีมาแต่โบราณ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำพุมดวง แม่น้ำสายสำคัญของสุราษฎร์(อีกสายคือแม่น้ำตาปี มีต้นน้ำมาจากทางนครศรีธรรมราช ส่วนต้นแม่น้ำพุมดวงอยู่แถว อ.พนมและบ้านตาขุน) พื้นที่ใน อ.คีรีรัฐนิคม จึงเป็นป่าและภูเขาน้อยใหญ่เสียเป็นส่วนใหญ่ ที่ราบที่พบจึงมีไม่มากเป็นที่ราบระหว่างภูเขา
พระธาตุหินนิลเปา
แม้ตัวชุมชนจะก่อตั้งมานาน แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาอย่างที่บอก ประกอบกับภายหลังความเจริญจะย้ายจากริมทางรถไฟ ออกมาสู่ริมถนนรถยนต์สายต่างๆ เลยทำให้ตัว อำเภอคีรีรัฐ กลายเป็นอำเภอเล็กๆไปโดยปริยาย แง่ดีก็คือมันเหมาะกับการอยู่อาศัย แต่ช่องทางทำมาหากินก็คงไม่ได้มาก ในพื้นที่ทำสวนปาล์มเป็นส่วนใหญ่
ภูเขาที่นี่จะเป็น ภูเขาดิน ที่มีหินแกรนิตเป็นธรณีสัณฐาน ลักษณะก็จะคล้ายกับป่าทางภาคตะวันออก ทางระยอง จันทบุรีนะแหละคือจะมีหินแกรนิตโผล่บนยอดเขา น้ำที่ออกมาจากพื้นที่เหล่านี้จะใสแจ๋ว(แต่ตอนหลังมีการเปิดหน้าดินทำสวนปาล์มเยอะ น้ำเลยจะออกแดงๆสีขุ่น)
สภาพทางที่ขึ้นไปจนถึงหินนิลเปา
ซึ่งอาจจะแตกต่างจากภูเขาในเขตเชี่ยวหลาน เขาสก หรือที่ อ.พนม ที่เราไปแล้วจะเห็นว่าเป็นภูเขาหินปูน แม้พื้นที่จะใกล้เคียงกันแต่ไม่ได้ว่าจะต้องเป็นเหมือนกันทั้งหมด กรณีของหินนิลเปา และ หินพัด นี้ก็เช่นกัน
จริงๆแล้ว ปรากฏการณ์แบบนี้มีเยอะ หินโหม่ง ที่เขาเขียว-เขาชมพู่ ที่ชลบุรี พระบาทพลวง ที่เขาชะเมา ระยอง หรือที่ดังๆก็คือพระธาตุอินทร์แขวน ที่เมียนมา เป็นลักษณะปรากฏการณ์หินตั้งเหมือนกัน จะต่างกันก็แค่ทัศนียภาพที่รายรอบแค่นั้นเอง
หินนิลเปา
การเดินทางไปยัง หินพัด-หินนิลเปา นี้ ไปทางเดียวกัน เดินทางง่ายๆเลยคือเข้าไปที่ตัว อำเภอคีรีรัฐนิคม ก่อน แล้วจะเห็นป้ายบอกทางไปหินพัด ก็ไปตามทางเลยครับ เพราะอำเภอนี้มีที่เที่ยวไม่กี่แห่ง ไปตามทาง ตามป้ายเรื่อยๆ
ทางจะเข้าไปสู่พื้นที่ที่เป็นสวนปาล์มสองข้างทาง แต่ทางราดยางตลอดนะ จากที่เคยมีบ้านเรือนห่างๆ ก็จะไม่เห็นบ้านคนแต่จะเห็นแต่สวนปาล์มสองฝั่งทาง แยกแรกที่จะเจอคือแยกซ้ายมือไปพระธาตุหินนิลเปา ทางจะขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสิ้นสุดที่ ‘พระธาตุหินนิลเปา’
ลักษณะก็จะเป็นเจดีย์ที่ถูกสร้างบนหินแกรนิตก้อนใหญ่ๆ ที่โผล่อยู่บนยอดเนินเขา แล้วทาสีเหลืองทอง นี่คือ พระธาตุหินนิลเปา
เลยลงมาด้านล่างนิดหนึ่งห่างกันราวร้อยเมตร จะเห็นหินก้อนใหญ่ที่มีโคนคอดกิ่ว ตั้งอยู่โดดเด่น ป้ายด้านล่างติดว่าเป็น หินนิลเปา ผมก็ไม่รู้นะว่าความหมายคืออะไร แต่มันก็คือหินแกรนิตนั่นละครับ
สวนปาล์มกว้างใหญ่รอบๆที่ตั้งหินนิลเปา
กลับออกมาตรงทางแยกอีกทีแล้วเลี้ยวซ้าย ไปตามทางไปยัง ‘หินพัด’ ลักษณะทางก็เหมือนกันคือทางราดยาง และมีแต่สวนปาล์ม ทางมาหินพัดนี่ดีหน่อยยังมีบ้านคนประปรายอยู่ข้างทางบ้าง ทางจะขึ้นเขาชัน ไปจนสุดที่ลานจอดรถ แล้วจึงเดินเท้าไปตามทางปูนที่ทำเป็นสะพานทางเดินอย่างดี อีกราว 100 เมตร ก็จะถึงบริเวณที่เรียกว่าหินพัด
ทางเดินไปยังหินพัด
หินพัดจะเป็นหินแกรนิต ขนาดเล็กกว่าหินนิลเปามีส่วนคอดเล็กๆ ตั้งอยู่บนหินแกรนิตก้อนใหญ่ มีบางมุมมองที่เราจะเห็นว่าโคนของหินนี้เหมือนจะแทงปักลงไปในก้อนหินใหญ่ที่เป็นฐาน ความสวยงามก็อย่างที่ผมบอกว่าขึ้นอยู่กับทัศนียภาพที่อยู่รายรอบ
ปรากฏการณ์แบบนี้ผมเรียกว่า ปรากฏการณ์หินคอด หรือหินตั้ง จริงๆ ก็เกิดขึ้นได้ในหินทุกแบบ ทั้งหินทราย หินปูน เกิดขึ้นได้หมด แต่หินพักหรือหินนิลเปา เป็นกลุ่มหินแกรนิต
หินพัด ที่เป็นทั้งปรากฏฎการณ์หินตั้งและเป็นจุดชมทิวทัศน์
อย่างที่เรารู้กันว่าหินแกรนิตนั้นเป็นหินที่ออกมาจากใต้โลก ออกมากับลาวาพอสู่พื้นผิวโลกก็แข็งตัว โลกมีการปรับสมดุลและผ่านปรากฏการณ์ใหญ่ๆหลายต่อหลายครั้งเป็นเวลาเป็นร้อยๆล้านปี จนหินแกรนิตที่กระจัดกระจายนั้นถูกดันขึ้นเป็นภูเขา
หินพวกนี้ก็ถูกยกตัวขึ้นด้วย ฝน แสงแดด อากาศ ทำให้หินแกรนิตที่มันเคยซ้อนทับกันก็แตกออก (ในภาพที่เอามาให้ดูก็จะเห็นการแตกของหินแกรนิตใกล้เคียง) หินส่วนที่เคยหุ้ม คลุมในสวนล่างที่ซ้อนทับกันก็แตกออก
รอยแตกบนหินพัดนั้นชัดเจน
อีกมุมมองของหินพัดจะเห็นฐานที่คอดกิ่วยิ่งขึ้น
รูปลักษณ์หินพัดอย่างชัดเจน
ส่วนที่แตกก็ผุสลายไป เหลือแต่ส่วนด้านบนที่ยังไม่แตกสลาย และน้ำหนักมันได้สมดุลกันพอดี เลยทำให้หินเหล่านี้ตั้งอยู่ได้ เวลาท่านผู้อ่านไป ก็ลองดูตรงส่วนคอดที่มันตั้งอยู่ก็ได้ว่าจะเห็นหินมันก็ยังมีการแตกกร่อนออกมา
ฐานที่คอดกิ่ว แต่ยังได้สมดุล จึงยังไม่ล้มลง
วันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งเราไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ อาจจะเป็นพัน เป็นหมื่นปี หินที่ตั้งๆเหล่านี้ก็ล้ม หรือถ้ามีแผ่นดินไหวแรงๆ มีแรงขนาดใหญ่มาโยก หินพวกนี้ก็กลิ้งล้มลงหมดละครับ
นี่คือความเป็นจริงทางธรณี ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความวิเศษอะไรทั้งสิ้น วันข้างหน้ามีการพังทลายตกลงแน่นอน เพียงแต่วันนี้มันยังคงตั้งอยู่ให้เราเห็นเท่านั้น ธรรมชาติที่มองเห็นรอบๆบริเวณ ก็ทำให้ดูสดชื่น คุ้มค่ากับการได้เดินทางมาเยือน
ทางเดินมายังหินพัด
คีรีรัฐนิคมอาจจะมีอะไรไม่มากในแง่แหล่งท่องเที่ยว แต่เมื่อได้มาเห็น ผมว่า คนที่มาเยือนก็ไม่ผิดหวังหรอกครับ มาคีรีรัฐนิคม มาชมหินตั้งกัน....