ผลรางวัล SUNDANCE FILM FESTIVAL 2025 ในห้วงความแตกต่างหลากหลาย

Atropia หนังเสียดสีสุดแหวกแนว คว้ารางวัลใหญ่ในเทศกาล SUNDANCE FILM FESTIVAL 2025 ขณะที่หนังสั้น ‘The Lily’ ที่ใช้นักแสดงไทย ถ่ายทำที่เกาะสมุย ได้เข้าชิงรางวัลใหญ่
มีอะไรใหม่ ๆ ให้ได้เสพได้สัมผัสกันทุก ๆ ปี กับเทศกาลหนังอินดี้อเมริกันและนานาชาติ Sundance Film Festival ประจำปี 2025 ซึ่งได้จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 23 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ ซอลต์เลกซิตี้ รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา
โดยสาขาการประกวดที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็น Documentary Competition สำหรับงานสารคดี และ Dramatic Competition สำหรับหนังเล่าเรื่อง ทั้งที่มาจากสหรัฐอเมริกา และนานาชาติ โดยหลังการประกาศผลรางวัล หนังที่ได้รับการสรรเสริญด้วยตำแหน่งรางวัลใหญ่ Grand Jury Prize ก็กระจายไปตามสาขาต่าง ๆ ทั้งหมดรวม 4 เรื่อง
เริ่มที่รางวัล Grand Jury Prize สาย Documentary Competition จากนานาชาติ ปีนี้ ได้แก่สารคดีจากประเทศอิหร่านเรื่อง Cutting Through Rocks ของสองผู้กำกับ Sara Khaki และ Mohammadreza Eyni ที่ติดตามชีวิตการทำงานของ Sara Shahverdi เทศมนตรีหญิงคนแรก ณ หมู่บ้านห่างไกลในอิหร่าน
Sara ผ่านการยอมรับจากคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ด้วยอุดมการณ์ในการสนับสนุนเพื่อนพลังหญิง ให้สามารถเลือกทำในสิ่งที่พวกเธอพอใจโดยไม่อยู่ใต้อาณัติของสมาชิกฝ่ายชาย เพื่อป้องกันการขายลูกสาวให้ออกเรือนไปโดยไม่เต็มใจ ให้พวกเธอสามารถเลือกคู่ครองเองได้ว่าอยากจะแต่งงานกับใครคนไหน
รวมไปถึงกิจกรรมการสอนให้สตรีรู้จักขี่จักรยานยนต์ และประพฤติตนโดยไม่ต้องง้อผู้ชาย ซึ่งแน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านี้มันคือการท้าทายฝ่ายบุรุษอย่างไม่เกรงใจ ทำให้ Sara ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานขนานใหญ่จากผู้มีอำนาจฝ่ายชายที่ดูจะไม่พอใจการเข้ามาทำงานของ Sara เอาเลย!
หนังค่อย ๆ เผยอุปสรรคต่าง ๆ ที่นาง Sara ต้องพบเจอ ว่าเธอต้องอดทนกันเบอร์ไหนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ก็เสียดายอยู่ที่ในภาพรวมของหนังอาจจะยัง monotone มากเกินไป มี conflict ใหญ่อยู่เพียงประการเดียว แล้วค่อย ๆ เคี่ยวสถานการณ์ผ่านรายละเอียดที่ออกจะดูซ้ำ ๆ ไปสักนิด
ส่วนผู้พิชิตรางวัลใหญ่ในสาย Dramatic Competition นานาชาติ ก็เป็นหนังอาร์ต LGBTQ+ ภาษามราฐี จากอินเดียเรื่อง Cactus Pears กำกับโดย Rohan Parashuram Kanawade
หนังเล่าเรื่องราวของ ‘อนันต์’ หนุ่มชาวกรุงผู้ต้องมุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านนอกมาร่วมไว้ทุกข์ในงานศพบิดา และได้กลับมาพบกับคู่รักเก่าซึ่งเป็นผู้ชาย ทั้งคู่จึงกลับมาระบายความรักความกำหนัดใคร่ อาศัยพื้นที่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์เป็นจุดนัดพบ คบหากันจน ‘อนันต์’ เริ่มไม่มั่นใจว่า หรือเขาควรจะกลับมาอาศัย ณ บ้านเกิดแห่งนี้ดี
หนังมีบรรยากาศที่คล้ายคลึงกับหนังไทยอย่าง ‘สัตว์ประหลาด!’ (๒๕๔๗) ของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความรักที่เหมือนจะไร้อุปสรรคขวากหนามของทั้งคู่ที่แม้ป่าเขาก็ดูจะเป็นใจ แต่จังหวะหนังก็เหมือนจะดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อยและเอื่อยเนือยจนเกินไป ด้วยรายละเอียดอารมณ์ที่ไม่เพียงพอต่อความยาวถึง 112 นาทีของมัน!
มาที่หนังประกวดกลุ่มอเมริกัน เรื่องที่ชนะรางวัล Grand Jury Prize สาย Documentary Competition ปีนี้ ได้แก่สารคดีเรื่อง Seeds ของผู้กำกับหญิง Brittany Shyne ที่ถ่ายด้วยภาพขาวดำออกมาได้อย่างหมดจดงดงามมาก
หนังติดตามความยากลำบากในการพิทักษ์รักษา ‘ที่ดินทำกิน’ ของครอบครัวชนอเมริกันผิวสีที่อาศัยอยู่ทางชนบทตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา เรือกสวนไร่นาที่ตกทอดเป็นที่ทำมาหากินจากรุ่นสู่รุ่น วิพากษ์คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ถือครองที่ดิน ซึ่งคนท้องถิ่นผิวขาวมักจะได้เปรียบชาวแอฟริกัน-อเมริกันอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาต้องเจอกับปัญหาจนไม่สามารถรักษาโฉนดให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้
หนังนำเสนอภาพชีวิตประจำวันอันสงบง่ายของชาวแอฟริกัน-อเมริกันในพื้นที่แห่งนี้ เนื้อที่ที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้หักร้างถางพงกันมา ทว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนกลุ่มนี้อีกต่อไป!
แต่รางวัลที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในเทศกาล ก็น่าจะเป็น Grand Jury Prize สำหรับกลุ่มงาน Dramatic Competition สายอเมริกัน นั่นก็คือหนังเรื่อง Atropia ของผู้กำกับหญิง Hailey Gates งานประเภทเสียดสี ย้อนเวลาไปเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2006 ด้วยแนวตลก farce ตลาดแตก
Atropia เล่าเรื่องราวสุดแหวกแนวของค่ายฝึกทหารอเมริกันด้วยบรรยากาศตะวันออกกลางแบบ 4D immersive active participatory อาศัยเทคโนโลยีอันทันสมัยในการสร้างภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ด และสูตรสำเร็จของละครเวที จ้างนักแสดงเม็กซิกันผิวสีให้มาตีบทแตกเป็นชาวอิรัก ฝึกทหารอเมริกันให้เป็น ‘นักฆ่า’ และสามารถเอาตัวรอดได้ในสมรภูมิจริง!
หนังติดตามชีวิตนักแสดงหญิงเชื้อสายอิรักนาม Feyruz ซึ่งสามารถพูดภาษาอารบิกได้ พอรู้ว่าทางกองต้องการนักแสดงหญิงมารับบทบาทเป็นคู่รักคู่สวาทของนายทหารมาดกร้าวใจ นางจึงใช้มารยาไปขอแลกคิวถ่ายกับนักแสดงอีกรายที่จะได้เล่นบทนี้!
จากนั้นหนังก็เริ่มตีแผ่ว่ากองฝึกนี้มีเบื้องหลังในการตั้งค่ายกำมะลอเพราะเหตุใด แต่ก็น่าเสียดายที่หนังใช้สถานการณ์ตั้งต้นอันน่าสนใจนี้ในการปู้ยี่ปู้ยำพฤติกรรมกระหายสงครามตามเจตนารมณ์ของผู้นำอเมริกันกันแต่เพียงแค่ช่วงแรก ๆ จากนั้นก็หันไปเล่าเรื่องราวความรักของนักแสดง ‘นางแบก’ กับ ‘พ่อยอดชาย’ ซึ่งหาได้ชวนให้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่!
หนังอีกสายที่มักรวมเอางานที่มีรูปแบบและแนวคิดออกจะล้ำสมัย คือสาย NEXT สำหรับหนังอินดี้เล็ก ๆ ทว่ามีน้ำเสียงแปลกใหม่น่าสนใจ เช่น ภาพยนตร์สารคดีมีการแสดงเรื่อง BLKNWS: Terms & Conditions อันเป็นหนึ่งในผลผลิตของงานศิลปะสร้างสรรค์ของศิลปิน Kahlil Joseph ซึ่งเคยแสดงในงาน Venice Biennale 2019 มาแล้ว
BLKNWS เป็นอักษรย่อมาจาก BLacK NeWS รายการข่าวโทรทัศน์แนวใหม่ซึ่งจะสนใจเฉพาะวัฒนธรรมและความเป็นไปของเหล่าชาวแอฟริกันอเมริกันในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น มันคือรายการโทรทัศน์จำลองเพื่อส่องว่า จักรวาลของการเป็นคนผิวสีในดินแดนแห่งนี้ พวกเขามีชะตาชีวิตเป็นเช่นไร ท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่กินเวลาไม่น้อยไปกว่า 247 ปี!
หนังสลับส่วนที่เป็น footage ข่าวจริง ๆ กับการแสดงของภัณฑรักษ์และนักข่าวสาว ผ่านการเดินทางอันยาวไกลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเรือเดินสมุทร หมุดหมายเส้นทางเดียวกันเลยกับเมื่อครั้งที่เหล่าทาสผิวดำจากแอฟริกา เดินทางมายังสหรัฐอเมริกาเป็นกลุ่มแรก
BLKNWS: Terms & Conditions จึงมีโครงสร้างการเล่าที่สุดแปลก แหวกแนวไปจากหนังเรื่องอื่น ๆ ในเทศกาลได้อย่างแตกต่าง
ในขณะที่หนังอย่าง Mad Bills to Pay (or Destiny,dile que no soy malo) ในสายเดียวกันของผู้กำกับ Joel Alfonso Vargas ก็เลือกที่จะ contrast เนื้อหาเรื่องราวของครอบครัวโดมินิกัน-อเมริกันชนชั้นปากกัดตีนถีบ ณ ริมหาดย่านบร็องซ์ ในนิวยอร์กที่ออกจะร่วมสมัย กับการใช้ฟิล์มมุมมนแบบคนทำหนังสมัยโบราณ จนดูเป็นงานกึ่งเก่ากึ่งใหม่ เหมือนสร้างมาเพื่อเอาใจคอหนังทุก ๆ รุ่น!
หนังเล่าสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อ Rico บุตรชายคนโตของบ้าน ซึ่งก็ขยันขันแข็งทำงานทำการปรุงน้ำหวานผสมยาเป็นพ่อค้าริมหาดประกาศขายเครื่องดื่มดับกระหายให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มชิม
หากเมื่อ Destiny แฟนสาวผู้เงียบหงิมของ Rico ท้องโตเพราะเริ่มตั้งครรภ์ เขาจึงต้องหันมาดูแลภรรยาพาเธอมาอาศัยในห้องนอนรูหนูของเขาที่บ้าน ขยันทำงานเพื่อหาเงินมาต้อนรับทายาทตัวน้อย แม้ว่าแฟนสาวของเขาจะไม่ลงรอยเลยกับมารดาจู้จี้ขี้บ่นของฝ่ายชาย!
หนังถ่ายทำด้วยวิธีแบบ fly on the wall ปล่อยให้ตัวละครดำเนินชีวิตเหมือนไม่ได้มีบทลิขิตเอาไว้ แล้วให้กล้องทำหน้าที่เหมือนแมลงวันบันทึกภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างไม่จาบจ้วงล่วงเกิน จนกลายเป็นหนังที่ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นสารคดีที่แทบไม่มีเค้ารอยของความพยายามในการแสดงใด ๆ ให้เห็น!
สำหรับเรื่องสุดท้ายขอให้เป็นเวทีของหนังสั้น ซึ่งหนึ่งในหนังที่เข้าชิงรางวัลใหญ่ก็มีงานที่ใช้นักแสดงชาวไทย และมาถ่ายทำที่เกาะสมุยในประเทศไทยของเราอีกด้วย นั่นก็คือหนังสั้นอเมริกันชื่อ ‘เดอะลิลลี่’ หรือ ‘The Lily’ ของผู้กำกับสตรี Quintessa Swindell
โดยตลอดระยะเวลา 14 นาทีของหนัง Quintessa จะรับบทบาทเป็นนักมวยหญิงอเมริกัน แบ่งซีกครึ่งจอกันกับนักมวยหญิงไทย ‘เมย์ เพชรชมพู’ แสดงภาพทั้งคู่กำลังเตรียมฟิตซ้อมร่างกาย ฝึกการร่ายรำทำความเคารพครูบาอาจารย์ สืบสานศิลปะแม่ไม้มวยไทย เพื่อให้พร้อมในการขึ้นชกแมชต์ใหญ่ที่ทั้งคู่จะได้มาเผชิญหน้ากัน!
การแบ่งคั่นหน้าจอขวาซ้ายจึงสามารถถ่ายทอดบรรยากาศการเก็บตัวฝึกซ้อมของทั้ง Quintessa และ เมย์ เพชรชมพู ไปได้ในเวลาที่คู่ขนาน นำเสนอสถานการณ์การแข่งขันเพื่อรางวัลแห่งการเป็นผู้ชนะในแบบสตรี ที่แตกต่างไปจากวิถีแห่งสุภาพบุรุษไปโดยสิ้นเชิง!
บรรยากาศในงานเทศกาล
Main Street Photo by Jovelle Tamayo







