มอนดาวี สายเลือดแห่งเมรัยอมตะ
เปิดตัวทายาทเมรัยอมตะ 'มอนดาวี' สายเลือด 'โรเบิร์ต มอนดาวี' เจ้าพ่อไวน์นาปา แวลลีย์ ผู้ก่อตั้ง โรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอะรี อันลือลั่น ในวันที่ครอบครัวมอนดาวีสูญไร่องุ่น
โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Gerald Mondavi / 18 มิ.ย. 1913 –16 พ.ค. 2008) “เจ้าพ่อไวน์นาปา แวลลีย์” เจ้าของ โรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอะรี (Robert Mondavi Winery) ที่โด่งดัง แม้เขาลาโลกนี้ไปแล้ว แต่ทายาทยังสืบสายเมรัยอมตะ แม้วันนี้จะไม่มี โรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอะรี แล้วก็ตาม
ปี 2004 ไร่องุ่น โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi Winery) ถูกขายกิจการให้กับบริษัท คอนสเตลเลชั่น แบรนด์ (Constellation Brands) ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสหรัฐฯ และของโลก
นับเป็นเรื่องเศร้า เพราะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1933 ปีที่ครอบครัวมอนดาวีไม่มีไร่องุ่นและโรงทำไวน์เป็นของตระกูล...!!!
โรเบิร์ต มอนดาวี มีลูกที่เกิดจากภรรยาคนแรก มาร์โฌรี เอลเลน (Marjorie Ellen) 3 คนคือ ไมเคิล มอนดาวี (Michael Mondavi) มาร์เซีย มอนดาวี (Marcia Mondavi) และ ทิม มอนดาวี (Tim Mondavi) ส่วนภรรยาคนที่สอง มาร์กริท มอนดาวี (Margrit Mondavi) ซึ่งอยู่กับโรเบิร์ต มอนดาวี จนนาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่มีทายาทด้วยกัน...
วันที่ 16 กรกฏาคม 2025 นี้เวียนมาครบรอบ 59 ปี การก่อตั้งไร่ โรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอะรี วันที่พวกเขาไม่มีกรรมสิทธิ์ในไร่ที่พ่อเป็นผู้ปลุกปั้นมาทั้งชีวิต
วันนี้ พวกเขาทำอะไร ?
ไมเคิล มอนดาวี
ไมเคิล มอนดาวี (Michael Mondavi) ได้รับฉายาจากเพื่อน ๆ และผู้ร่วมงานว่า “quiet icon” เนื่องจากเป็นคนเงียบ ๆ แต่ทำงานจริงจัง ประเภทชอบอยู่เบื้องหลัง เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ชื่อว่าช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมไวน์นาปา แวลลีย์ (Napa Valley) เคียงคู่กับพ่อ
ไมเคิล มอนดาวี เติบโตที่ชาร์ล ครุก ไวเนอะรี (Charles Krug Winery) ในเซนต์ เฮเลนา (St Helena) ซึ่งครอบครัวมอนดาวีซื้อมาตั้งแต่ปี 1943 ก่อนจะก้าวเข้าสู่อาชีพการทำไวน์อย่างเต็มตัวในปี 1966 จากการที่ร่วมกับพ่อก่อตั้ง โรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอะรี (Robert Mondavi Winery) ที่โอ๊ควิลล์ (Oakville) ในนาปา แวลลีย์ นั่นเอง
เมื่อโรเบิร์ต มอนดาวี ออกมาก่อตั้ง Robert Mondavi Winery นั้น คนที่รับหน้าที่ดูแล Charles Krug Winery จนนาทีสุดท้ายของชีวิตคือ ปีเตอร์ มอนดาวี (Peter Mondavi /1914 - 2016) น้องชายของโรเบิร์ต มอนดาวี หรืออาของไมเคิล มอนดาวี
ไมเคิล มอนดาวี ทำหน้าที่หลายอย่างในไวเนอะรี นับตั้งแต่ไวน์เมกเกอร์ ประมาณ 8 ปีแรก เริ่มมีชื่อเสียงในปี 1974 เป็นต้นมา ต่อมารับหน้าที่รองประธานฝ่ายขายในช่วงปี 1969-1978 จากนั้นขึ้นมาเป็น MD และ CEO ในปี 1990 หน้าที่สุดท้ายคือประธานบริษัทในช่วงปี 2001-2004
ไมเคิล มอนดาวี และครอบครัว
ปี 1999 ไมเคิล มอนดาวี พร้อมด้วยภริยา อิสซาเบล (Isabel) ลูกชายและลูกสาว 2 คน (Rob, Jr.,Dina) ได้ซื้อไร่อานิโม (Animo Vineyard) ที่แอตลาส พีค (Atlas Peak) ซึ่งว่ากันว่านี่คือบทแรกที่เขาเริ่มถ่ายทอดประสบการณ์สู่ทายาท
ด้วยประสบการณ์ที่ล้นเหลือของไมเคิล มอนดาวี ครอบครัวเปิดตัวบริษัท Folio Fine Wine Partners ทำธุรกิจด้านการนำเข้าและการตลาดไวน์ ปัจจุบันนอกจากจะทำโปรดักต์ในครอบครัวมอนดาวีแล้ว ยังเน้นนำเข้าผู้ผลิตไวน์แบบครอบครัวจากอิตาลี สเปน โปรตุเกส อาร์เจนตินา ฝรั่งเศส และออสเตรีย
ไวน์ของไมเคิล มอนดาวี
ไมเคิล มอนดาวี มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมไวน์นาปา แวลลีย์ เขาจึงถูกเชิญให้รับตำแหน่งประธานและซีอีโอของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น Wine Market Council, Napa Valley Vintners, California Wine Institute และ Winegrowers of California เป็นต้น
ปี 2015 นิตยสาร Wine Enthusiast ยกย่องให้เขาเป็น “Person of the Year 2015” ในฐานะผู้มีอุปการคุณต่อวงการไวน์สหรัฐอเมริกา
มาร์เซีย มอนดาวี
ทิม มอนดาวี (Tim Mondavi) ลูกชายคนเล็ก จึงต้องแสวงหาพื้นที่ใหม่และร่วมกับ มาร์เซีย (Marcia) พี่สาว ภายใต้การแนะนำของพ่อ และก่อตั้ง คอนตินูอุม (Continuum Estate) โดยใช้ภาษาโรมัน ในปี 2005 ขนาด 173 เอเคอร์ (1 เอเคอร์ = 2.5 ไร่) บนเนินเขาพริตการ์ด ฮิลล์ (Pritchard Hill) ทางตะวันตกเมืองโอ๊ควิลล์ (Oakville)
ด้านหน้าของไร่องุ่นปลูกต้นมะกอกอายุ 100 ปี ซึ่งทิม มอนดาวี เรียกว่า “Robert’s Wood” เป็นเกียรติแก่พ่อซึ่งถ้ามีชีวิตอยู่จะอายุครบ 100 ปีในปี 2013 แต่โรเบิร์ต มอนดาวี เสียชีวิตไปก่อนในวันที่ 16 พฤษภาคม 2008 ด้วยวัย 94 ปี
ทิม มอนดาวี
ทิม มอนดาวี คัดเลือกองุ่นเอง
ทิม มอนดาวี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส (University of California,Davis) หนึ่งในมหาวิทยาลัยสอนไวน์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ในสาขาการปลูกองุ่นและศาสตร์การทำไวน์ (Viticulture & Oenology) ปี 1974 และกลับมาเป็นหนึ่งในทีมไวน์เมกเกอร์ของไร่โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi Winery) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นของครอบครัวมอนดาวี
Continuum Estate ซึ่งดินมีส่วนผสมของดินภูเขาไฟและแร่เหล็กค่อนข้างมาก ปลูกองุ่นพันธุ์หลักเป็นสายพันธุ์คลาสสิกจากบอร์กโดซ์ คือ กาแบร์กเนต์ โซวีญยอง (Cabernet Sauvignon), แมร์กโลต์ (Merlot), กาแบร์กเนต์ ฟรอง (Cabernet Franc) และเปอติต์ แวร์กโดต์ (Petit Verdot)
ทิม มอนดาวี กับพ่อ
แน่นอน Continuum เป็นไวน์สไตล์บอร์กโดซ์ เบลนด์ (Bordeaux Blend) ที่ผสมผสานจากองุ่นทั้ง 4 สายพันธุ์ดังกล่าวในอัตราที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละวินเทจ แต่เน้นกาแบร์กเนต์ ฟรอง เป็นพิเศษ รูปในฉลากไวน์ก็เป็นต้นองุุ่น กาแบร์กเนต์ ฟรอง ออกแบบโดยลูกสาวของเขาเอง
ทิม มอนดาวี ฉลองครบรอบ 40 ปีในอาชีพการทำไวน์ (Winemaker) ของเขาเมื่อปี 2013 เสียดายที่ไม่ได้ฉลองพร้อมอายุครบ 100 ปีกับพ่อ!
ทิม มอนดาวี หลงใหลไวน์เบอร์กันดี การปลูกองุ่นของเขาจึงทำแบบเกษตรกรเบอร์กันดี ซึ่งเขาเคยไปหาประสบการณ์อยู่หลายปีในช่วงที่เป็นไวน์เมกเกอร์ช่วยคุณพ่อ
คอนตินูอุม 2013 (Continuum 2013) ของทิม มอนดาวี (Tim Mondavi) ปรากฏโฉมพร้อมกับฉลากใหม่มีตัวเลข 1-40-100 อยู่ในฉลากด้วย
- ตัวแรก 1 หมายถึงฉลองไวเนอะรีครบรอบ 1 ปี และทำไวน์จากองุ่นซึ่งปลูกในไร่พริตการ์ด ฮิลล์ (Pritchard Hill) แห่งนี้ 100%
- ตัวเลข 40 หมายถึงเส้นทางบนอาชีพไวน์เมกเกอร์ของทิม มอนดาวี เวียนมาครบรอบ 40 ปีในปี 2013
- ตัวเลข 100 หมายถึงวินเทจเฉลิมฉลองเพื่อพ่อของเขา คือถ้าโรเบิร์ต มอนดาวี ถ้ามีชีวิตอยู่ เขาจะมีอายุครบ 100 ปีในปี 2013
นอกจากนั้นยังมีนกตัวหนึ่งปรากฏในฉลากด้วย เป็นนกที่กำลังโผผินบินเหนือแปลงองุ่น และเป็นนกที่อาศัยอยู่ในไวเนอะรีนั่นเอง
ขณะที่ คาร์โล มอนดาวี (Carlo Mondavi) ลูกชายของ ทิม มอนดาวี ไปทำไวน์ชื่อ โซริ เดลลา ซอร์บา (Sorì della Sorba) อยู่ในดิอาโน ดัลบา (Diano d’Alba) แคว้นเพียดมอนต์ ประเทศอิตาลี ผลิตไวน์จากเนบบิโอโล (Nebbiolo) และดอลเซตโต (Dolcetto)
คาร์โลวัย 43 ปี และภรรยาวัย 29 ปี ชาวอิตาลี โจวานนา บักนาสโก (Giovanna Bagnasco) ทำธุรกิจรถแทรคเตอร์ และไวเนอะรี่เล็ก ๆ กับน้องชายที่ โซโนมา แวลลีย์ ขณะที่โจวานนาทำไวเนอะรีเล็ก ๆ กับพี่สาวอยู่ในบาโรโล พบรักกันที่แคลิฟอร์เนียและเพิ่งแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว
ไวน์ Sorì della Sorba ผลิตมาได้เป็นวินเทจที่ 5 มีไวน์รุ่นท็อปคือ โซริ เดลลา ซอร์บา ลังเก เนบบิโอโล (Sorì della Sorba Langhe Nebbiolo) นอกนั้นยังมี โซโล เปอร์ อามอเร ลังเก รอสโซ (Solo Per Amore Langhe Rosso) เบลนด์จากดอลเซตโต(Dolcetto) กับเนบบิโอโล (Nebbiolo) โดย Solo Per Amore แปลลว่า “Only for Love”
“สายเลือดแห่งเมรัยอมตะ” ก็ยัง “สายเลือดแห่งเมรัยอมตะ” ไม่เคยจืดจาง !