'WORK FROM HOME' คืออะไร ทำงานที่บ้านอย่างไรให้ได้งาน เมื่อ 'โควิด-19' ระบาดซ้ำ

'WORK FROM HOME' คืออะไร ทำงานที่บ้านอย่างไรให้ได้งาน เมื่อ 'โควิด-19' ระบาดซ้ำ

เปิด 8 เทคนิค "WORK FROM HOME" หรือการ "ทำงานที่บ้าน" ให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในช่วง "โควิด-19" ระบาดซ้ำ

สถานการณ์ไวรัสโคโรน่า หรือโรค "โควิด-19" ในไทยกลับมาระบาดซ้ำ ทำให้หลายหน่วยงานเฝ้าระวังและกลับมาใช้นโยบาย "ทำงานที่บ้าน" หรือ "WORK FROM HOME" อีกครั้งเพื่อลดการพบปะซึ่งกันและกัน ลดการกระจายของเชื้อ "ไวรัสโคโรน่า"

แต่ปัญหาที่ย้อนกลับมาหาคนทำงาน อีกครั้ง ก็ยังเป็นปัญหาเดิม นั่นคือการทำงานที่บ้าน มีข้อจำกัดหลายเรื่องที่ทำให้ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เหมือนกับการทำงานที่ "ออฟฟิศ" หรือ "ที่ทำงาน" เช่น ปัจจัยของอุปกรณ์ในการทำงาน บรรยากาศการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน และการสื่อสารกับทีมที่ยากกว่าการเจอหน้า ฯลฯ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ หรือไม่อยากมีปัญหางานไม่เดินเมื่อถึงเวลาต้องทำงานที่บ้าน ลองทำตาม 8 วิธี ทำงานที่บ้านให้ได้งาน เคล็ดลับที่จะช่วยให้งานของคุณมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม แม้จะไม่ได้นั่งอยู่ในออฟฟิศแบบเดิมก็ตาม

161778644898

 1. แต่งตัวเหมือนออกไปทำงาน 

อาจฟังดูตลกสำหรับบางคน แต่เหตุผลที่เราควรลุกขึ้นมาแต่งตัวเหมือนไปทำงาน หรือคล้ายการออกไปทำงานมากที่สุด จะช่วยลดความรู้สึกเป็นส่วนตัวเกินไปเมื่อต้องทำงานที่บ้าน การสวมเสื้อผ้าที่พร้อมสำหรับการทำงาน จะช่วยดึงเราไม่ให้กลับไปเกลือกกลิ้งบนที่นอนได้ง่ายๆ แถมช่วยสร้างพลังความพร้อมสำหรับการทำงานในแบบที่คุ้นชินทุกครั้งที่ต้องออกไปทำงาน

ในทางตรงกันข้ามการพยายามทำงานบนเตียงนอน โซฟา ทั้งๆ ที่ยังสวมชุดนอนสุดชิล จะทำให้สมองของเราสร้างสรรค์ได้ยาก เพราะยังอยู่ในโหมดของการพักผ่อนที่คุ้นชิน

 2. จัดพื้นที่ทำงานเฉพาะ 

การ "จัดพื้นที่" ทำงานเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงาน ให้รู้สึกจดจ่อกับการทำงานเป็นอันดับแรก ซึ่งช่วยในการคิดงานได้มากกว่าทำงานอยู่ในบรรยากาศของบ้าน ที่ทำให้เราคุ้นชินกับการพักผ่อนมากกว่าการทำงาน

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องหน้าตาเหมือนออฟฟิศ เราอาจจะประยุกต์ใช้โต๊ะกินข้าวเคาท์เตอร์ในครัว ตู้หัวเตียง หรือมุมใดๆ ก็ได้ในบ้าน เพียงแต่กำหนดพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็น "พื้นที่ทำงาน" เพื่อตัดบริบทความสบายที่แสนดึงดูดจากรอบข้างออกไป 

 3. ใช้เวลาทำงาน เหมือนตอนไปออฟฟิศ 

การกำหนดเวลาในการทำงานอย่างชัดเจน ใกล้เคียงกับเวลาทำงานที่เคยทำในออฟฟิศจะช่วยให้จัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เช่น สมมติเวลาทำงานปกติคือ 09.00 น.-17.00 น. ก็จะต้องใช้เวลาในการทำงานในกรอบเวลาที่ใกล้เคียงกัน และทำอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปกับสิ่งเร้าอื่นๆ ภายในบ้าน เช่น สัตว์เลี้ยง การพูดคุยกับคนในบ้าน หรือการพักผ่อน

การตั้งค่าชั่วโมงทำงานที่สอดคล้องกันทำให้คุณต้องรับผิดชอบต่อตัวคุณเอง จะทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะทำงานให้เสร็จ ทันเวลา และทำให้ผู้ที่ต้องการติดต่อเรื่องงานทำได้ง่าย เพราะมีห้วงเวลาการทำงานเดียวกัน เพื่อให้งานสามารถดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพแม้จะต้องสื่อสารทางไกล

 4. แยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวออกจากกันให้ดี 

"แยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวออกจากกัน" ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้อง "Work from home" เพราะบรรยากาศที่บ้านชวนให้เราปลีกตัวออกจากงานได้ตลอดเวลา ฉะนั้น จึงต้องแบ่งเวลาส่วนตัวให้ดี จึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเครียดหลังเวลางาน และไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาด้วย

นอกจากบริหารตัวเองแล้วการทำงานจากที่บ้านยังต้อง สื่อสารกับทีมให้ดี เช่น ชี้แจงให้ชัดเจนว่าทำงานเวลาไหน หยุดพักเวลาไหนบ้าง อาทิ หากคุณต้องการใช้เวลาตอนเย็นกับครอบครัวต้องแน่ใจว่าไม่กระทบกับงาน และทีมรับรู้ว่าคุณไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลานั้น เพื่อทำให้กระบวนการทำงานดำเนินไปอย่างราบรื่น 

 5. วางแผน ลำดับความสำคัญของงาน 

"วางแผนเรื่องงานให้ดี ก่อนที่จะเริ่มทำงาน" เคล็ดไม่ลับที่ทำให้งานง่ายขึ้น โดยเรียงลำดับ ดังนี้

- ทำภารกิจที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดก่อน
- วางแผนวันตามวิถีชีวิตธรรมชาติของคุณ เช่น เลือกทำงานหนักที่สุด หรือยากที่สุด ในเวลาที่คุณมีพลังงานมากที่สุดของวัน (แต่ละคนไม่เหมือนกัน)
- วางแผนรางวัลของตัวเอง และการหยุดพักระหว่างวัน

ทริคในการวางแผนงานง่ายๆ คือ ใช้เวลา 2-3 นาทีก่อนที่จะเข้านอนเพื่อวางแผนสำหรับวันถัดไป เพื่อให้ไม่ต้องเครียดจากการวางแผนในใจอยู่ตลอดเวลา พอสบายใจว่างานเป็นระบบแล้วจะ ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ตื่นตัวทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้มีเวลาส่วนตัวมากขึ้นสำหรับการออกกำลังกายก่อนทำงาน หรือดูแลตัวเองในด้านอื่นๆ ด้วย

 6. ตัดสิ่งรบกวน 

นอกเหนือจากการติดต่อสื่อสารกับทีมงานแล้ว โทรศัพท์ แชท หรือสื่ออื่นๆ ล้วนไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับการทำงานที่บ้าน เพราะสื่อจะเป็นสิ่งเร้าที่เสียสมาธิ หรือดึงดูดให้หลุดออกไปจากการทำงานที่ควรจดจ่อ ทำให้งานเสร็จช้าลง ต้องเผางานในวินาทีสุดท้าย งานตกหล่นบกพร่อง หรือแย่ที่สุดคืองานไม่เสร็จตามที่ควรจะเป็น 

นอกจากสิ่งรบกวนจากสื่อต่างๆ แล้ว ยังหมายความรวมถึงการกำหนดขอบเขตสำหรับเด็ก สัตว์เลี้ยง คู่สมรส หรือเพื่อนร่วมห้อง พยายามกระตุ้นให้พวกเขาทิ้งคุณไว้คนเดียวในขณะที่คุณกำลังทำงานเพื่อที่คุณจะได้จดจ่อกับงานอย่างจริงจัง

 7. หยุดพัก 

สิ่งที่ลืมไม่ได้คือการ "หยุดพัก" จากงานให้เหมาะสม โดยการหยุดพัก ที่นี้ มี 2 รูปแบบ คือ การพักรับประทานอาหารให้ตรงตามมื้ออาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น และการหยุดพักสายตาจากหน้าจอ พักสมองจากความเครียด รวมถึงได้พักอุปกรณ์ในการทำงาน

การหยุดพักอาจต้องสร้างกรอบจางๆ ให้แน่ใจว่าจะใช้เวลาพักนานแค่ไหน ดังนั้น เพื่อให้ไม่ฟุ้งซ่านเกินไป ควรใช้เวลาระหว่าง 10-30 นาที ซึ่งเป็นเวลาเหมาะสำหรับการหยุดพักระยะสั้นและใช้เวลา 1 ชั่วโมงไม่เกิน 2 ชั่วโมง สำหรับมื้อกลางวัน

โดยหลังลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานระหว่างพัก อาจจะเป็นการเดินไปรับอากาศรอบบ้านบ้าง คว้าขนมมารับประทาน หรือพูดคุยกับคนอื่นบ้าง กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายได้รีเซ็ตตัวเองใหม่ ช่วยทำให้เลือดไหลเวียน และทำให้แน่ใจว่าเราพร้อมที่จะรับมือกับภาระงานต่อไปแล้ว 

 8. หาแรงบันดาลใจ 

การทำงานที่บ้านเป็นเวลานานๆ อาจทำให้มีระยะเวลาของการเดินทาง ไม่ค่อยได้เจอโลกภายนอกซึ่งอาจเป็นข้อเสียเล็กๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ต้องทำงานสายครีเอทีฟ หรือต้องการแรงบันดาลใจเพื่อขับเคลื่อนงาน

ฉะนั้นนอกจากพักผ่อนจากการทำงานแล้ว ยังแนะนำให้แบ่งเวลาพักส่วนหนึ่งมาเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงานด้วย เช่น เปิดเพลงที่ช่วยในการผ่อนคลาย อย่างเสียงธรรมชาติ ดนตรีบรรเลง หรือแม้กระทั่งเปิดหน้าต่างทิ้งไว้เพื่อให้เสียงจากภายนอกเข้ามาบ้าง อ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ ฯลฯ หรือทำสิ่งที่ชอบ เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง เพื่อบาลานซ์งานกับชีวิตให้ได้ในช่วงวิกฤติแบบนี้