Bellitas (เบลลีแทส)

Bellitas (เบลลีแทส)

แบรนด์โคมไฟประเภท 'แชนเดอเลียร์' รับทำตามแบบสุดแฟนตาซีฝีมือคนไทย และได้งานในต่างประเทศ

“ทุกวันนี้เวลาเดินไปไหนก็จะมองแต่ฝ้า เพดาน เห็นวัสดุก็จะคิด ว่าจะเอาไปทำอะไรบ้าง” คือคำสารภาพของคู่สามี-ภรรยา กิตติศักดิ์ จิวะวัฒนาศักดิ์ (ป๋อง) และ จุฬารัตน์ อรรถสารประสิทธิ์ (โบว์) สองผู้บริหารผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เบลลีแทส (ประเทศไทย) จำกัด ผลิต ‘โคมไฟ’ ภายใต้แบรนด์ Bellitas (เบลลีแทส)​​ ซึ่งเป็นโคมไฟที่มีรูปลักษณ์ของโคมแขวนตกแต่งในลักษณะของแชนเดอเลียร์ (chandelier)

การเริ่มต้นของแบรนด์โคมไฟ Bellitas อาจอยู่ในข่าย ‘ความบังเอิญ’ ก็ว่าได้

“เริ่มจากเราสองคนเรียนปริญญาโทเมืองนอก ชอบเดินทางดูของสวยงามในแต่ละเมืองแต่ละประเทศ พอกลับมาก็สร้างเรือนหอ มองหาโคมไฟสวยๆ ไม่มีในเมืองไทย เราก็บินไปฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกา ก็สั่งเข้ามา มันอาจจะเยอะหน่อย เต็มตู้ พอใส่ที่บ้านเสร็จก็ยังเหลืออยู่ เราก็ใช้ที่นี่(โชว์รูมในซอยสุขุมวิท 38) ซึ่งแต่ก่อนไม่ได้เป็นร้านแบบนี้ เป็นลักษณะบ้านให้คนอื่นเช่า พอหมดสัญญาเช่า เราก็นำโคมไฟมาแขวน คนขับรถผ่านไปผ่านมาก็ชอบ เกิดการพูดกันปากต่อปากไปเรื่อยๆ คนก็รู้จัก นิตยสารหลายเล่มเข้ามาติดต่อขอถ่ายแบบ” คุณกิตติศักดิ์ เล่า

ที่เกิดการ ‘พูดกันปากต่อปาก’ เนื่องจากโคมไฟที่สั่งเข้ามานั้นมีลักษณะโดดเด่นและแตกต่างจากโคมไฟที่มีอยู่ในตลาดโคมไฟในกรุงเทพฯ เมื่อ 15 ปีก่อน เพราะเป็นโคมไฟที่ทำด้วย ‘แก้วเป่า’ ระดับโลก นั่นก็คือเครื่องแก้ว มูราโน่ (Murano) และ เวเนเชียน (Venetian) แห่งอิตาลี

จากที่ขับรถผ่านไปผ่านมา ก็เริ่มมีคนจอดรถและเดินเข้ามาซื้อโคมไฟ หนักเข้าก็ขอ ‘สั่งทำตามแบบ’ ในที่สุด

สองผู้บริหารเบลลีแทส สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจและการเงินจากต่างประเทศ แม้แต่ปริญญาตรีในประเทศก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านการออกแบบใดๆ แต่ทุกวันนี้กลับประกอบธุรกิจที่ต้อง ออกแบบ และ ผลิต โคมไฟแชนเดอเลียร์ด้วยตัวเอง ทั้งประเภททำตามใบสั่ง ไปจนถึงพัฒนาและต่อยอดจากแบบที่มีลักษณะเป็นเพียงภาพร่างคร่าวๆ หรือแม้แต่ลูกค้ามีเพียง ‘แนวคิด’ ในหัว ก็สามารถทำออกมาเป็นชิ้นงานที่พึงใจได้

“จริงๆ เราก็ไม่ได้เรียนอะไรมาทางนี้เลย เราจบไฟแนนซ์กัน แต่ตอนเด็กๆ โบว์ชอบทำงานฝีมือ ของสวยงาม งานดีไซน์ งานปักผ้า เย็บจักร ถักร้อย ก็พอจะเชื่อมโยงไปกับงานตรงนี้ได้” คุณจุฬารัตน์ กล่าว

ความชอบส่วนตัวใน งานฝีมือ กลับส่งผลดีอย่างมากในการดำเนินธุรกิจต่างสาขาที่ร่ำเรียนมา เพราะโคมไฟที่สั่งเข้ามาจากต่างประเทศนั้น คุณจุฬารัตนต้องทั้งประกอบเองและติดตั้งเอง

คุณจุฬารัตน์กล่าวว่า มั่นใจตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่าจะต้องประกอบโคมไฟที่สั่งซื้อด้วยตัวเอง ความช่วยเหลือที่ต้องการคือ จัดหาช่างสร้างบ้านมาช่วยยกของเท่านั้น

“โคมไฟที่เราเห็นที่เมืองนอกเป็นชิ้นสำเร็จรูปก็จริง แต่การจัดส่ง เขาส่งแยกชิ้น มาเป็นก้านๆ แล้วเราต้องมาประกอบเอง” คุณจุฬารัตน์ กล่าวและเล่าต่อไปว่า

“การสั่งซื้อสินค้าในเมืองไทย มีช่างมาประกอบให้ แต่สั่งของจากเมืองนอก ไม่มีใครบินตามมาประกอบให้ เราต้องเรียนรู้เอง ว่าจะประกอบอย่างไร จะแขวนโคมไฟลักษณะนี้ได้อย่างไร ก็เรียนจากประสบการณ์ ต้องมีตัวยึดก่อน แล้วค่อยนำแต่ละชิ้นมาเกาะกัน ก็เลยรู้ทุกส่วนโครงสร้างของโคมไฟ เราก็ทำมาเรื่อย พอเห็นวัสดุนี้ก็คิดว่าน่าจะมาแทนอันนี้ได้ เหมือนกับหัวจะไปเองว่าจะเอาอะไรมาประดิษฐ์ดี เพื่อให้ได้อีกช่อที่สวยกว่า หรือสีที่สวยกว่า ก็คิดมาตลอด จนดีไซน์โคมไฟได้”

ลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อโคมไฟมีจำนวนมากขึ้น ถึงขนาดที่ทำให้ทั้งสองต้องลาออกจากงานประจำ

“มีคนมาซื้อเยอะขึ้น มาขอถ่ายแบบที่ร้าน มาถ่ายทำรายการโทรทัศน์ มีลูกค้ามากจนต้องสั่งซื้อซ้ำไปยังเมืองนอก และทำงานประจำไม่ได้แล้ว กินเวลางานประจำ ก็ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดี ตอนแรกให้คุณป๋องออกมาก่อน ลองดูว่าเวิร์คไหม ก็ยังเวิร์คอยู่ โบว์ก็เลยออกตามมา” คุณจุฬารัตน์ เล่า

คุณกิตติศักดิ์ลาออกจากงานประจำมาทำหน้าที่พนักงานขายโคมไฟ ขับรถกระบะส่งของด้วยตัวเอง ส่วนคุณจุฬารัตน์ดูแลสั่งของต่างประเทศทางอีเมลและดูคำสั่งซื้อลูกค้า

“ลูกค้ากลุ่มแรก คือกลุ่มบ้านที่ต้องการความแตกต่าง ยุคนั้นเป็นยุคที่วินเทจกลับมาใหม่ๆ คนจะเล่นวอลล์เปเปอร์ เล่นแสงไฟ เล่นสีสันของบ้าน โคมไฟที่เป็นสีสันเป็นเทรนด์ในช่วงนั้นพอดี ซึ่งในเมืองไทยตอนนั้นมีแต่โคมไฟทองเหลือง คริสตัลเม็ดใหญ่ๆ แต่ของเราเป็นแก้วเป่ามูราโน่ และมีได้หลายสีในหนึ่งช่อ” คุณจุฬารัตน์ กล่าว

“ลูกค้าเข้ามาก็บอกนี่แหละที่ฉันกำลังหา ไปต่างประเทศแล้วเห็นอยู่ แต่เมืองไทยไม่มี... จะเจอลักษณะนี้เยอะมาก” คุณกิตติศักดิ์ กล่าวและเล่าต่อไปว่า “หลังจากนั้นก็มีดีไซเนอร์ มีเจ้าของโรงแรมเข้ามาดู เขาก็ถามเราว่า คุณรับผลิตไหมที่เป็นแบบอื่นโดยใช้แก้วพวกนี้ เราก็รับออร์เดอร์มาเสี่ยงทำดู”

ลูกค้าโรงแรมแห่งแรกคือ ดุสิต รีสอร์ต แอนด์ โปโล คลับ ชะอำ-หัวหิน เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว คุณจุฬารัตน์เล่าให้ฟังว่า นับเป็นโคมไฟช่อแรกของบริษัท มีลักษณะเป็นเส้นคริสตัลทิ้งตัวลงมา ตรงปลายเป็นแก้วทรงหยดน้ำ สูง 8 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เมตร ใช้คริสตัลนับแสนชิ้น ประดับอยู่ที่ห้องอาหาร ใช้เวลาติดตั้งหนึ่งสัปดาห์ และต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะขณะนั้นห้องอาหารเปิดบริการแล้ว ทีมงานมีเวลาติดตั้งแค่ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีห้า กว่าจะตั้งนั่งร้านขึ้นไปและต้องเก็บคืนสู่สภาพเดิมในตอนเช้าเพื่อให้บริการอาหารเช้า โจทย์คือโรงแรมอยากได้ช่อโคมไฟแก้วเป่าสีชาเข้ากับคอนเซปต์โรงแรมที่เป็นคอนเทมโพรารี โคมไฟชิ้นนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คที่แขกโรงแรมต้องถ่ายรูปจนทุกวันนี้

คุณกิตติศักดิ์เล่าประสบการณ์ทำงานซึ่งนับว่าเป็นงานที่ท้าทายอีกงานหนึ่งว่า

“เป็นแบบที่นักออกแบบตกแต่งภายใน(interior designer)ออกแบบแล้วประมาณหนึ่งบนกระดาษเอโฟร์ แล้วส่งแบบมาให้เราพัฒนาต่อจนออกมาดีที่สุด เขาใช้บริษัทอินทีเรียร์ที่เมืองไทยแนะนำบริษัทโคมไฟไปให้เลือก แล้วเขาจะบินมาที่เมืองไทยคัดเลือกด้วยตัวเอง มาดูงาน มาดูโปรไฟล์ โคมไฟชิ้นนี้กว้าง 3.80 เมตร สูง 8 เมตร ทำด้วยกระจกเทมเปอร์ การติดตั้งโคมไฟไม่มีนั่งร้านเหล็ก มีแต่นั่งร้านไม้ไผ่ ไม่มีเครื่องช่วยยก ใช้คนยืนทีละขั้นแล้วส่งขึ้นไป”

ปัจจุบันงานชิ้นดังกล่าวประดับอยู่ที่ โรงแรมคราวน์ พลาซ่า กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ร่วมกับโคมไฟทรง ‘หัวหอม’ ที่ทำจากวัสดุสแตนเลสขนาด 1 คนโอบ ข้างในเป็นสีสเตนเลส ข้างนอกเป็นสีขาว มีหลอดไฟอยู่ข้างใน เกิดจากภาพวาด ‘แบบร่าง’ โดยไม่บอกวัสดุ แต่ให้ ‘เบลลีแทส’ ต่อยอดให้ รวมทั้งคำนวณสัดส่วนให้เหมาะกับพื้นที่ี


“โคมไฟแต่ละชิ้นเหมือน ผลงานชิ้นเอก (masterpiece) เวลาทำออกมาแล้วเหมือนของโชว์หนึ่งชิ้น ทุกวันนี้เราทำแชนเดอเลียร์มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ถึง 10 เมตร สูง 20 กว่าเมตร เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ” คุณกิตติศักดิ์ กล่าวและว่า ภาคภูมิใจกับงานทุกชิ้น เพราะยากทุกชิ้น แต่ทุกการทำงานก็ปรารถนาให้ลูกค้าได้รับงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร เมื่อมีงานชิ้นใหม่เข้ามาก็คิดใหม่ทุกครั้ง

เบลลีแทส ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบโคมไฟถวาย ณ พระตำหนักซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

คุณจุฬารัตน์ กล่าวถึงโคมไฟชิ้นหนึ่งที่ออกแบบด้วยการนำคริสตัลสวารอฟสกี้มาร้อยเรียงเป็นรูปทรงก้อนเมฆ ขนาด 2 เมตร คูณ 3 เมตร ดูระยิบระยับ แล้วร้อยลงมาเป็นเส้นตรงความยาว 1.50 เมตร ให้เหมือนฝนตกจากเมฆ นี่คือ โคมไฟฤดูฝน ซึ่งจะประดับไว้ใน ‘ห้องสรง’ ของพระตำหนัก และยังจะมีโคมไฟฤดูร้อน โคมไฟฤดูใบไม้ร่วง โคมไฟฤดูหนาว ครบตามการออกแบบตกแต่งภายใน

คุณกิตติศักดิ์กล่าวด้วยว่า การทำโคมไฟบางทีก็มีความเชื่อเรื่อง ฮวงจุ้ย เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น การทำ โคมไฟม่านคริสตัล ถือเป็นม่านฮวงจุ้ยชิ้นหนึ่ง ความหมายคือสะท้อนสิ่งที่ไม่ดีออกไป

การติด เม็ดคริสตัลกลมขนาดใหญ่ ไว้ตรงปลาย ให้หมุนไปหมุนมา ให้มีการเคลื่อนไหว ก็ถือเป็นการแก้หรือเสริมฮวงจุ้ยแบบหนึ่ง เพราะถ้าใช้คริสตัลที่มีรูปทรงแหลมห้อยลงมา ชาวจีนเชื่อว่าเหมือนมีคมดาบทิ่มลง การปรับเปลี่ยนใช้คริสตัลทรงกลมมนรูปหยดน้ำ ช่วยให้ดูอ่อนหวาน ไม่ทิ่มแทง

“แม้กระทั่งคริสตัลสีดำ ชาวจีนก็ไม่นิยม เขาว่าดูหม่นหมอง ผู้ใหญ่ไม่เอาเลย แต่วัยรุ่นชอบ โดยเฉพาะแก้วมูราโน่สีดำนั้นสวยมาก”

นอกจากมีทักษะในการออกแบบ, ประกอบ และติดตั้งโคมไฟ หนุ่มสาวซึ่งเรียนมาทางด้านการเงินคู่นี้ยังเรียนรู้ ความอ่อน-เข้มของแสงสว่าง จาก ‘หลอดไฟ’ อีกด้วย


“ถ้าทำงานให้โรงแรม โรงแรมจะมีนักออกแบบแสง (lighting designer) กำหนดวัตต์มาให้เลย ว่าแชนเดอเลียร์ห้ามเกินกี่วัตต์ ส่วนบ้านธรรมดาเราทำตามประสบการณ์ว่าแชนเดอเลียร์โคมนี้้ต้องมีไฟทั้งหมดกี่หลอด แชนเดอเลียร์ขนาดสองเมตรควรมีไฟแต่ละดวงห่างกันเท่าใด โคมไฟลักษณะนี้ต้องการความสวยงาม ถ้าต้องการความสว่างจะได้จากโคมไฟประเภส่องลง (downlight)ที่ติดอยู่โดยรอบแชนเดอเลียร์” คุณจุฬารัตน์ อธิบาย

นอกจากใช้วัสดุแก้วเป่าจากอิตาลี เบลลีแทสยังยังเลือกวัสดุชั้นดีจากหลายแห่ง เช่น เครื่องทองเหลืองฉลุลายจากโมร็อกโก คริสตัลโบฮีเมียนจากฝรั่งเศส งานสเตนเลสจากจีน เครื่องแก้วจากเช็ก และงานหวาย-งานไม้-งานผ้าไหมของประเทศเราเอง เพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากขึ้น

ขณะนี้ ‘เบลลีแทส’ รับงานออกแบบและผลิตโคมไฟตั้งแต่โคมไฟหน้าหัวเตียงชิ้นเล็กๆ 1 ชิ้น จนถึงโรงแรมขนาดนับ 1,000 ห้อง

“15 ปีที่แล้วยังไม่มีร้านโคมไฟมากเท่าปัจจุบัน ตอนนี้ไฟสำเร็จรูปเปิดเยอะมาก คนที่เดินเข้ามามีไอเดียอยากได้ไฟมากขึ้น สมัยก่อนเดินเข้ามาซื้อแล้วจบ ตอนนี้เปลี่ยนตรงนั้นตรงนี้ได้ไหม รูปแบบโคมไฟก็เปลี่ยนด้วย เดี๋ยวนี้คนไม่ชอบโคมไฟที่เป็นช่อแชนเดอเลียร์ปกติ ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาประกอบ เช่นมี4แก้วล้อมรอบ หรือเปลี่ยนรูปคริสตัลมากขึ้น ทำให้มีผลต่อน้ำหนักของโคมไฟด้วย น้ำหนักโคมไฟที่เราเคยทำมากที่สุดคือห้าตัน แขวนลงมาจากเพดาน ซึ่งหมายถึงตัวยึดที่ต้องมีความแข็งแรง และนี่คือจุดแข็งของเรา คือทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการและจินตนาการไว้” คุณจุฬารัตน์ กล่าว

แผนงานที่ ‘เบลลีแทส’ วางไว้ต่อไปแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

“นำแบรนด์โคมไฟสำเร็จรูปเข้ามาจำหน่ายในร้าน และมีแผนกดีไซน์เอง ทำคอลเลคชั่นของตัวเองขึ้นมาเพื่อขายต่อเป็นซีซั่น นำเทรนด์ด้านโคมไฟ เริ่มงานในต่างประเทศมากขึ้น วางแผนออกงานแสดงสินค้าโคมไฟในพม่า(Lighting Fair) เป็นงานแฟร์ที่มีเนื้องานดูดีมากทีเดียว (แต่ยังต้องปรับปรุงเรื่องวิธีจัดงาน) ตอนนี้หลายคนอยากไปพม่า มีโรงแรมจะเปิดอีกมาก” คุณจุฬารัตน์ กล่าว

แม้บริษัทตะวันตกเป็นผู้บุกเบิกสร้างสมประสบการณ์ผลิตโคมไฟทั้งแบบใช้งานและแบบแฟนตาซีล่วงหน้ามาก่อนกว่าครึ่งศตวรรษ แต่วันนี้บริษัทของคนไทยก็ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ลงสนามแล้ว

รูปลักษณ์ชิ้นงาน คือคำตอบของชื่อแบรนด์

‘เบลลีแทส’ เป็นภาษา ละติน หมายถึง ของสวยงาม หรือของใช้สำหรับคนชั้นสูง

ภาพ : สุกล เกิดในมงคล, www.bellitas.co.th