(เราจะ) แก่ไปด้วยกัน

แก่ไม่กลัว กลัวไม่มีที่ให้แก่... คน(จะ)แก่ทั้งหลาย เตรียมพร้อมเข้าสู่ “สังคมคนแก่” แล้วหรือยัง?
คนแต่งงานน้อยลง แล้วยังมีลูกน้อยลง ขณะที่ผู้สูงอายุก็มีชีวิตยาวขึ้นๆ ส่วนหนึ่งเพราะระบบสาธารณสุขดีขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้โลกหมุนเข้าสู่การเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” ด้วยอัตราที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุการคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ.2050 จะมีผู้สูงอายุเกือบ 2,000 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 21 ของประชากรโลก หรือเกือบ 2 เท่าตัวจาก ณ ขณะนี้
ไทยก็เช่นกัน จำนวนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีการคาดการณ์ว่า ในอีก 6 ปี (ปี ค.ศ.2021) จะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือ ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่า ในคน 5 คน จะมีผู้สูงอายุอยู่ 1 คน ซึ่งนับเป็นประเทศที่แก่แซงหน้าทุกประเทศในอาเซียนไปก่อนเพื่อน
ลองจินตนาการดูว่า อีกไม่กี่สิบปี ไปไหนมาไหน เราจะมองเห็นผู้สูงอายุมากกว่าตอนนี้ประมาณ 3-4 เท่า
..นั่นแหละคือ สังคมไทยในวันอันใกล้นี้
เมื่อความแก่เริ่มมาเยือนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่การซัพพอร์ทจากรัฐในทุกด้านกลับค่อยๆ ขยับไปทีละนิด
เมื่อเราจะต้องรับผิดชอบความเป็นไปนี้ไปด้วยกัน เรารู้หรือยังว่า นอกจากร่างกายที่ฟิตแล้ว ความต้องการพื้นฐานของบรรดาคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ หรือกระทั่งตัวเราเองในอนาคต มีอะไรบ้างที่ต้องตระเตรียมไว้
ออกแบบได้เลย
โครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อม คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ "ชีวิต” ของผู้สูงอายุอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้น ห้องนอน ห้องน้ำ ก็ต้องใส่ใจรายละเอียดที่เหมาะกับการใช้งาน และร่างกาย ซึ่งก่อนจะออกแบบสิ่งเหล่านี้ในบ้าน ผศ.ดร.ชุมเขต แสวงเจริญ หัวหน้าหน่วยวิจัยการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ต้องทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุก่อน
"เรื่องของร่างกาย เช่น สายตาฝ้าฟาง หูไม่ได้ยิน การเคลื่อนไหวช้าลง กล้ามเนื้อยึดติด ความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม โดนแดดก็เป็นไข้ได้ง่าย ถัดไปก็เป็นเรื่องของจิตใจ เช่น เรื่องของฮอร์โมน อารมณ์ ที่ทำให้กังวล วิตกจริต กังกลเรื่องการออกไปใช้ชีวิตข้างนอก การใช้ชีวิตที่เคลื่อนไหว ถัดไป คือ สังคมที่เปลี่ยนไป ลองนึกภาพ พอเราไม่รู้ว่า เราจะไปไหน ก็จะรู้สึกจำเจ สภาพแวดล้อมก็ต้องเข้ามามีส่วนช่วย ถัดไป เรื่องเศรษฐกิจ ถ้าเราป่วยง่าย ก็ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้น ถ้าจัดการบ้านได้ เราก็จะลดค่ารักษาพยาบาลจากสุขภาพที่เสื่อมถอย"
เมื่อเข้าใจสภาวะตามนั้นแล้ว ต่อไปก็ต้องรู้กิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ เช่น กิจกรรมหลักๆ ต้องเข้าห้องน้ำ นอน รับประทานอาหาร และรู้พฤติกรรรมที่ชอบทำ เช่น ทำสวน ทำอาหาร ซึ่งจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนห้อง และพื้นที่ต่าง ๆ
“ก๊อกน้ำลูกบิดอาจจะจับไม่ถนัดแล้ว ต้องเป็นก้านโยกแทน” ผศ.ดร.ชุมเขต ยกตัวอย่าง
การออกแบบเบื้องต้นอาจจะใช้หลัก Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน ซึ่งมีหัวใจอยู่ที่ “ความสะดวก ปลอดภัย เท่าเทียมกัน” แต่ถ้ามีความจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุก็ควรเลือกของที่ “เฉพาะ” ให้ เช่น ประตูบ้านอาจจะเพิ่มไซส์ให้รถวีลแชร์เข้าได้ (อยู่ที่ขนาด 90 เซนติเมตร) ห้องน้ำต้องกว้างเพียงพอให้หมุนตัวด้วยรถวีลแชร์ได้ (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เมตร) มีที่นั่งอาบน้ำที่ไม่ลื่น ฝักบัวควรเป็นแบบที่วัดปรับระดับขึ้นลงได้ ที่กดน้ำชักโครกต้องเป็นแบบก้านโยก เพื่อที่จะกดได้สะดวก ไม่ต้องเอี้ยวตัวแล้วเสี่ยงต่อการล้ม ฯลฯ
ผศ.ดร.ชุมเขต มองว่า การปรับเปลี่ยนบ้านนั้นเริ่มทำได้เลยไม่ว่า จะผู้อยู่อาศัยจะอายุเท่าใด เพราะหากรอจนกว่าจะแก่ บางทีอาจจะสายเกินไป ยิ่งตอนนี้ก็มีความสะดวกในการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อผู้สูงวัยมากขึ้นในราคาที่ถูกลง ก็ยิ่งทำได้ง่ายขึ้น เพียงแต่การตระหนักหรือองค์ความรู้เรื่องนี้ยังกระจายไม่เพียงพอ
“เราพบว่า บ้านที่ใส่ใจเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นบ้านที่เจอปัญหาจริงๆ อยู่ในภาวะพึ่งพิงแล้ว บ้านไหนดำรงชีวิตอิสระได้จะยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญแล้ว เช่น ถ้าเราทำตั้งแต่สุขภาพยังดีอยู่ เราอาจจะไม่หกล้ม ทำให้อาจจะดำรงชีวิตได้ยืนยาวขึ้น”
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนแก่ๆ แต่คนวัยทำงานหรือคนรุ่นใหม่เองก็ต้องมีส่วนร่วม โดยมีฐานความคิดก่อนว่า คน “สูงอายุ” คือคนที่มี “คุณค่า” สิ่งที่ทำก็เพื่อให้คนวัยบั้นปลายได้รู้สึกดีในการที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผลที่ได้จากการรู้จัก “ปรับ” ก็เป็นประโยชน์ของคนวัยกลางคน ที่กำลังจะแก่ตามไปในอนาคต
"คนที่จะได้ใช้คือ คนที่อีก 20-30 ปีจะเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งก็คือช่วงวัยกลางคนตอนนี้ เราเองแหละที่จะได้ใช้สภาพแวดล้อมพวกนี้ ถ้าเราไม่ทำวันนี้ แล้วเราไปรอให้สังคมที่มีแต่ผู้สูงอายุก็คือพวกเรา ใครจะทำให้เรา เราก็ต้องมองไปในอนาคตอันใกล้นี้ว่า เราจะมั่นใจกับการใช้ชีวิตได้มากแค่ไหน” ผศ.ดร.ชุมเขตบอก
สูงวัย ‘ใจ’ ขอมา
ไม่ใช่แค่อุปกรณ์ภายในบ้านที่ผลิตขึ้นเพื่อผู้สูงอายุจะหาได้ง่ายในช่วง 4-5 ปีมานี้ แต่ยังมีสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ออกแบบพิเศษเพื่อผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น รองเท้าเพื่อสุขภาพ, ที่นอนเพื่อสุขภาพ, หุ่นยนต์ช่วยดูแลผู้สูงอายุ หรือบริการสำหรับเพิ่มทักษะ เช่น ชมรมอินเทอร์เน็ตเพื่อผู้สูงวัย หรือการดูแลอย่างเนิร์สซิงโฮมก็มีมากขึ้น และหลากหลายขึ้นในหลายพื้นที่
ทั้งหมดล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่ยืนยันได้ว่า ภาคธุรกิจ และสังคมได้ปรับตัวเรื่องนี้แล้วระยะหนึ่ง แต่ก็ยังมีช่องว่างในเรืองอื่นอีกมากที่ยังไม่ได้อุด แม้จะเป็นเรื่องไม่ใหญ่โต แต่ก็สำคัญ อย่างกิจกรรมนันทนาการ และบันเทิง เพราะเป็นความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุเช่นกัน
“การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่เกิดขึ้นแล้วสำหรับผู้สูงอายุ” กรวรรณ สังขกร หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ทำแผนงานวิจัยการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวในภาคเหนือตอนบนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ บอก
กรวรรณบอกว่า ในอนาคตเมื่อประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ Aging Society เต็มที่แล้ว การท่องเที่ยว และกิจกรรมอื่นๆ เพื่อรองรับผู้สูงอายุจะสำคัญมาก จึงต้องเร่งเปลี่ยนมุมมองเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่าลืมว่า ผู้สูงอายุมีความพร้อมทั้งด้านรายได้ สุขภาพ และเวลาในการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุคือ การท่องเที่ยวที่ไม่เร่งรีบ (Slow Tourism) โดยทำกิจกรรมที่ไม่ใช้กำลังมาก (Passive Activities)
“ท่องเที่ยวแบบช้าๆ ไม่เร่งรีบ เน้นการใช้เวลาอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวนานกว่าปกติ เน้นมิติของการเรียนรู้ การซึมซับประสบการณ์ใหม่ๆ ในแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของแหล่งท่องเที่ยว เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น และสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างเต็มที่”
ผู้ร่วมทริปของผู้สูงอายุจะเป็นคนวัยเดียวกัน ซึ่งเข้าใจธรรมชาติของวัย หรือไม่ก็ไปเป็นครอบครัว ถ้าครอบครัวใดต้องท่องเที่ยวกับผู้สูงอายุก็ต้องมองหากิจกรรมแบบ Slow Tourism ไว้ก่อน เช่น เรียนทำอาหาร ทำดอกไม้ถวายพระ นวดแผนไทย หรือทำสปา ฯลฯ
“อาจเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเคยเดินทางท่องเที่ยวมาแล้ว และพร้อมที่จะเดินทางกลับมาท่องเที่ยวซ้ำในแหล่งท่องเที่ยวที่มีความประทับใจในแหล่งท่องเที่ยวในมิติต่างๆ เช่น สถานที่ บรรยากาศ สามารถซึมซับความรู้สึกได้อย่างไม่เร่งรีบ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเพราะไม่สามารถเดินทางได้รวดเร็วเหมือนนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น” กรวรรณให้ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า แหล่งท่องเที่ยวในไทยส่วนใหญ่ยังขาดการพัฒนา และผู้ประกอบการท่องเที่ยวยังขาดข้อมูลที่จะเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุอยู่ ตอนนี้จึงต้องเร่งพัฒนาแนวคิดนี้สู่สังคมให้มาก
ใครๆ ก็ต้องแก่
“เราเตรียมตัวไว้ตั้งแต่อายุ 40” อรนุช เลิศกุลดิลก วัย 53 ปี บอก
10 กว่าปีที่แล้ว เขาออกจากงานในระบบออกมาทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น ซึ่งถือว่า เป็นการเตรียมตัวเรื่องสังคม และจิตใจของเขาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งตอนนี้เขาได้เป็นผู้จัดการโครงการเพื่อผู้สูงอายุ ForOldy และร้านสินค้ามือสองเพี่อผู้สูงอายุ ที่มีสโลแกนว่า “เจ็บอย่างสบาย แก่อย่างสง่างาม และตายอย่างสงบ”
สำหรับความเห็นของอรนุช นอกจากการเตรียมพร้อมเรื่องเงิน และเรื่องสุขภาพแล้ว “ความเข้าใจ” โดยเฉพาะจากคนยังไม่แก่ คืออีกสิ่งที่สำคัญมาก
"คนรุ่นใหม่ต้องเข้าใจคนรุ่นเก่าด้วย จะได้อยู่ร่วมกัน และจะได้ไม่ลำบากเหมือนรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา แล้วก็ต้องเตรียม.. เตรียมในเรื่องการรู้ตัวเอง รู้ว่า เดี๋ยวความจำจะไม่ดี เข่าไม่ดี ไม่ต้องมาบ่นปวดหลัง ปวดเอว คือ ต้องรู้จักพัฒนาการสู่การเป็นสูงวัยด้วยตัวเอง” อรนุชบอก
จากแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545 - 2564) ในยุทธศาสตร์หนึ่งที่ปรากฏไว้เป็นแนวทางก็คือ การเตรียมคนก่อนวัยสูงอายุ นั่นคือ ต้องเตรียมไว้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 59 ปี
"อันแรกเลยคือเตรียมสุขภาพให้ดี สอง เตรียมดูแลสภาพทางการเงินของตัวเอง ต้องคิดว่า หลังจากหยุดทำงานแล้ว จะมีรายได้แค่ไหน จึงจะไม่ต้องไปขอลูกหลาน สาม เตรียมความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว คนที่จะมาดูแลในอนาคต ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี คนที่ทำตัวน่าเบื่อ หรืออยู่ในคนวัยกลางคน แต่แยกตัวออกไปอยู่ลำพัง สุดท้าย พอแก่แล้วไม่มีใครดูแลนะ” พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ให้คำแนะนำไปถึงทุกคนที่วันหนึ่งเลขจะอายุก็ต้องเข้าหลัก 5 หรือหลัก 6 และบวกขึ้นเรื่อยๆ
"ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและชุมชน ต้องทำตั้งแต่วัยก่อนสูงอายุ สมมติเราจะไปรวมกลุ่ม แต่ตอนทำงานไม่เคยคบหาใคร ไม่เคยสังสรรค์สังคมกับใครเลย แล้วจะไปมีสังคมกับเขา มันก็เป็นไปได้ยาก วิธีการนึงที่น่าจะเป็นบันไดที่จะสานไปสู่การรวมกลุ่มในอนาคตก็คือ ทำความรู้จักชมรมผู้สูงอายุไว้ จริงๆ เขาไม่ได้จำกัดแค่อายุ 60 ปีขึ้นไป หรือการเลือกชมรมที่ตรงกับอุปนิสัยใจคอ แล้วได้ทำกิจกรรมตั้งแต่ต้น ก็จะเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างราบรื่น” พญ.ลัดดาแนะ
ความสัมพันธ์และการเห็นคุณค่าในตัวเองคือเรื่องใหญ่ที่จะไม่ทำให้วัยไหนๆ กลายเป็น “ภาระ” ต้องมองให้ได้ตั้งแต่วัยเด็ก ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุแล้วได้ใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีเพื่อคนอื่นจะยิ่งรู้สึกมีคุณค่า เช่น การมีบทบาทด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูในเชิงวัฒนธรรม การเปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมเช่นนี้จะช่วยได้มาก
"ปัจจุบันผู้สูงอายุเขารวมกลุ่มกัน เกิดที่เรียกว่า คลังปัญญา ในที่ต่างๆ เป็นจุดที่แสดงศักยภาพให้เห็น แล้วก็ถ่ายทอดภูมิปัญญาต่างๆ ไปสู่คนรุ่นหลัง เมื่อผู้สูงอายุกลายเป็นครู ความรู้สึก respect ในคุณค่าของผู้สูงอายุจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม นี่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างผู้สูงอายุ และคนรุ่นหลัง"
หรือตัวผู้สูงอายุเองก็ต้องเร่งสร้างความเข้มแข็ง ไม่ทำให้คนวัยอื่นมองว่า ตัวเองเป็น Dead Wood (ไม้ตายซาก) ซึ่งการสร้างความเป็นกลุ่มก้อน หรือสร้างกิจกรรมที่มีคุณค่าต่อคนอื่น ก็เป็นอีกทางที่ช่วยได้ นอกจากนี้ก็ยังเป็นโอกาสในการสร้างงาน หรือการหารายได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงวัยอื่นด้วย
“กิจกรรมทำให้เรามีกลุ่ม มีเพื่อน เราเลือกสิ่งที่เราชอบ บางคนเลือกที่จะไปนั่งสมาธิ บางคนเลือกที่จะไปอาสาสมัคร ไปเป็นครูสอน แล้วแต่จะใช้ความถนัดของตัวเอง ก็ได้พบปะ ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง อย่างเราชอบทำกิจกรรม ก็ไปทำตลอด ตอนนี้ก็สนุกมาก ไม่เหงาเลย” เจ้าของโครงการ ForOldy ทิ้งท้ายไว้
ส่วนคนเตรียมแก่ทั้งหลาย.. ไม่ว่าจะอยากอยู่ถึงเลขไหน มีไลฟ์สไตล์ในบั้นปลายอย่างไร คิดแล้ว ก็ต้องเตรียมการให้พร้อม
อย่าลืมว่า “แก่อย่างมีคุณค่า” ย่อมดีกว่าหายใจทิ้งรอวันลาจาก
++++++++
ออมไว้ก่อน
อายุไม่ใช่ปัญหา ถ้าทุกคนมีกินมีใช้ ซึ่งในความเป็นจริงในสังคมไทยยังห่างไกลจากจุดนั้น ในปี พ.ศ.2557 สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานรายได้จากทุกแหล่งในการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวที่ผู้สูงอายุได้รับ ว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 25.2) มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 20,000 -39,999 บาท ในขณะที่ผู้มีรายได้เฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 20,000 บาท ก็ไม่ห่างกันมากในร้อยละ 21.6
ฉะนั้นการได้รับความรู้ทางการเงิน มีทางเลือกในการออม รู้จักลงทุน ตั้งแต่เนิ่นๆ ล้วนมีผลต่อสถานะทางการเงินเมื่อเข้าสู่วัยที่การพักผ่อนสำคัญกว่าการทำงาน
“ทันทีที่ทำงาน จะมากน้อยเท่าไรก็ต้องเริ่มออม” พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย เอ่ย และบอกว่า การมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอาจช่วยลดจำนวนตัวเลขที่จะต้องออมไปได้ แต่ก็ต้องไม่ประมาท
จากข้อมูลประมาณการค่าใช้จ่ายวัยเกษียณ รายงานบัญชีกระแสการโอนประชาชาติ ปี 2554 หากต้องการมีเงินไว้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายไปจนถึงบั้นปลายชีวิตในอายุ 80 ปี ควรจะออมเก็บไว้ให้ชัวร์อย่างน้อยคนละ 2.03 ล้านบาท หมายความว่า หากจะเริ่มออมตั้งแต่อายุ 30 ปี ก็ควรเก็บให้ได้เดือนละ 3,000 กว่าบาท หรือ 6,000 กว่าบาท หากเริ่มที่อายุ 40 ปี และ 14,000 กว่าบาท หากเริ่มที่อายุ 50 ปี ซึ่งโดยสถิตินั้นคนไทยส่วนไทยจะเริ่มวางแผนการออมไว้ใช้หลังเกษียณเมื่ออายุ 42 ปี นับว่า ค่อนข้างช้าทีเดียว
อย่างไรก็ตาม พญ.ลัดดา แนะว่า ความเพียงพอของคนเราไม่เท่ากัน ฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการมีและใช้ด้วย
“บางคนเขาก็ไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้งสองครั้ง แต่บางคนไม่ต้องหรอก แค่มีกินมีอยู่ มีใช้ในชีวิตประจำวันก็พอแล้ว”







