"BDI" ปลุกกระแส "ThaiLLM" แจ้งเกิด AI ภาษาไทย-สัญชาติไทย

"BDI" ปลุกกระแส "ThaiLLM" แจ้งเกิด AI ภาษาไทย-สัญชาติไทย

BDI ปักธงข้อมูล–เอไอ วางโครงสร้างพื้นฐานชาติ ดัน D2–ThaiLLM เชื่อมรัฐ–เอกชน ต่อยอดแพทย์–รัฐ–เอกชน ใช้งานจริงปี 2569 ปูฐานสู่โครงสร้างข้อมูลชาติ

KEY

POINTS

  • สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) เปิดตัว "ThaiLLM" ซึ่งเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทยที่พัฒนาโดยคนไทย และมีแผนจะเปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ที่สุดภายในเดือนมกราคม 2569
  • ThaiLLM ถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย ทำให้มีความเข้าใจภาษาและบริบทไทยอย่างลึกซึ้ง สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้หลากหลายวงการ ตั้งแต่ภาครัฐ ธุรกิจ ไปจนถึงการศึกษา
  • หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโครงการคือการพัฒนาโมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์ (Medical Screening) สำหรับคัดกรองอาการเบื้องต้น โดยร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 
  • โครงการ ThaiLLM จะถูกขับเคลื่อนควบคู่กับแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ (Data Integration and Intelligence Platform - D2) เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการใช้ประโยชน์จากข้อมูล
  • BDI ยังส่งเสริมทักษะดิจิทัลให้ประชาชนผ่านหลักสูตรออนไลน์ด้าน AI ฟรี เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมกำลังคนให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เปิดเผยความคืบหน้าโครงการ ThaiLLM ซึ่งถูกวางให้เป็นกลไกหลักในการยกระดับระบบนิเวศ ปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทย AI ของประเทศ

โดยล่าสุด BDI ได้เปิดตัวโมเดลพื้นฐาน (Foundation Model) ขนาด 8B พารามิเตอร์ และโมเดลขนาด 30B พารามิเตอร์ พร้อมเดินหน้าเตรียมเปิดโมเดลขนาดใหญ่ที่สุดให้สาธารณชนเข้าถึงภายในเดือนมกราคม 2569 นับเป็นก้าวสำคัญของการสร้าง AI ภาษาไทยที่พัฒนาโดยคนไทย และออกแบบมาเพื่อการใช้งานจริงในบริบทประเทศ

โมเดล ThaiLLM ทั้งหมดได้รับการฝึกด้วยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุน ทำให้มีความเข้าใจภาษาและบริบทไทยในเชิงลึก สามารถนำไปต่อยอดได้ในหลากหลายสาขา ตั้งแต่ภาครัฐ ธุรกิจ การศึกษา ไปจนถึงอุตสาหกรรมเฉพาะทาง โดยขณะนี้เริ่มมีหลายทีมทดลองนำ ThaiLLM ไปใช้งานแล้ว และคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในระยะอันใกล้

หนึ่งในหมุดหมายสำคัญของ ThaiLLM คือการพัฒนา โมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์ (Medical Screening) สำหรับงานคัดกรองอาการเบื้องต้น ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวช่วงต้นปี 2569 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างทีม ThaiLLM กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และโรงพยาบาลภาครัฐ

โมเดลดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อช่วยประเมินอาการเบื้องต้น ให้คำแนะนำการดูแลตนเอง และชี้แนะแนวทางการพบแพทย์อย่างเหมาะสม โดยย้ำชัดว่าไม่ใช่เครื่องมือวินิจฉัยโรค

ขณะเดียวกัน BDI ยังเตรียมเปิดให้ประชาชนทดลองใช้งานแชตบอตต้นแบบที่ใช้โมเดล Medical Screening ในช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคม 2569 เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการคัดกรองสุขภาพ และแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นต้น สะท้อนศักยภาพของ ThaiLLM ในการนำ AI ไปแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากการพัฒนาโมเดลภาษา BDI ยังเดินหน้าบทบาทการเสริมทักษะดิจิทัลให้ประชาชน โดยเตรียมมอบ “ของขวัญปีใหม่ 2569” ผ่านหลักสูตรออนไลน์ด้าน AI ในรูปแบบวิดีโอจำนวน 3 หลักสูตร เปิดให้เรียนฟรี เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถนำ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเรียน และการสร้างเนื้อหา พร้อมต่อยอดเป็นทักษะอาชีพใหม่ สอดคล้องกับบทบาทของ BDI ในฐานะองค์กรหลักด้านการพัฒนากำลังคน Big Data และ AI ของประเทศ ภายใต้การกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

ในภาพใหญ่ของประเทศ ศ.ดร.ธีรณี ระบุว่า ThaiLLM จะไม่เดินเดี่ยว แต่ถูกขับเคลื่อนควบคู่กับแพลตฟอร์ม Data Integration and Intelligence Platform (D2) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลางสำหรับการเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้จริง ทั้งการวางนโยบายเชิงมุ่งเป้า การบริหารจัดการภาครัฐ และการพัฒนานวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI

โดย BDI วางโรดแมปเริ่มจากการออกแบบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลในปี 2568 เปิดใช้งานเต็มรูปแบบในปี 2569 และต่อยอดสู่บริการ AI ในปี 2570

ท้ายที่สุด ศ.ดร.ธีรณี ได้ฉายภาพวิสัยทัศน์การใช้ข้อมูลรับมือความไม่แน่นอน ผ่านแนวคิด Digital Wall of Resilience  ซึ่งเป็นกรอบสถาปัตยกรรมข้อมูลและระบบบูรณาการระดับชาติ เพื่อรองรับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การเตรียมพร้อม และการบริหารจัดการวิกฤตแบบเรียลไทม์ ภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูล ความมั่นคงปลอดภัย และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยย้ำว่า บทเรียนจากการบูรณาการข้อมูลช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา แสดงให้เห็นชัดว่าข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ คือหัวใจของการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ

เธอ ย้ำว่า Digital Wall of Resilience ไม่ใช่แค่เครื่องมือด้านข้อมูล แต่คือ ระบบนิเวศความร่วมมือ ที่จะทำให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกัน พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและวิกฤตในทุกมิติ โดยมีข้อมูลและ AI เป็นฐานสำคัญของอนาคตประเทศ