งานกล้อง ต้องมา!

งานกล้อง ต้องมา!

ชีวิตติด 'กล้อง' ที่ไม่ใช่แค่ 'เทรนด์' แต่มันหมายถึง 'ความจำเป็น' ชนิดใครไม่มี..

ไม่ใช่เพียงเอาท์ เพราะอาจลามถึงการเสียเปรียบได้!?

ชนแล้วหนี พลเมืองดีขับจี้ตามให้ลงมาเคลียร์ ชาวเน็ตแห่ชื่นชม (มีคลิป) // กล้องจับภาพ มนุษย์ป้าตีเนียน //คลิปรถบัสถูกเผา..ที่พลเมืองดีถ่ายเอาไว้ ชัดเจนมาก // ฟ้องด้วยภาพ ประมาทอย่างนี้อาจมีคนตาย // เตือนด้วยคลิป! พลเมืองดีถ่ายคลิปเตือนภัยโค้งร้อยศพ // รองเท้าติดกล้อง แอบถ่ายใต้กระโปรง

หลากหลายเหตุการณ์ในยุคนี้ที่ต่างก็ใช้ “กล้อง” เก็บภาพ

เมื่อกล้องสามารถหาได้ง่ายในราคาที่คนทั่วไปซื้อได้กว่าแต่ก่อนมาก ทั้งกล้องดิจิทัลสารพัดฟังก์ชั่น กล้องมือถือความละเอียดสูง กล้องติดรถยนต์แบบรับแรงสั่นสะเทือน กล้องติดแว่นตาหรือกล้องกระดุมขนาดจิ๋ว ฯลฯ

การใช้กล้องที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของหลายคน ตั้งแต่การหยิบขึ้นมาเซลฟี่ยามว่าง ใช้บันทึกเหตุการณ์ที่ประทับใจ บางคนมีกล้อง (มือถือ) หนึ่งตัว (พร้อมไม้เซลฟี่) ก็ไม่ต้องง้อใคร เที่ยวเอง ถ่ายเอง ลงรูป เป็นอันเสร็จพิธีด้วยตัวเอง หรือบางที “กล้อง” ก็ทำให้หลายคนเปลี่ยนตัวเองจากไทยมุงเฉยๆ มาทำหน้าที่เป็นนักข่าวพลเมืองซะด้วยเลย (ก็ไหนๆ ได้มาอยู่ในเหตุการณ์แล้ว ถ่ายเก็บไว้ก็คงไม่เป็นไร/ก็คงเท่/ก็เอาไว้ให้คนอื่นๆๆ ดูได้...)

รวมไปถึงเหตุการณ์ที่คิดว่า "จำเป็น" หรือต้องป้องกันตัวเองด้วยการ "ถ่ายไว้ก่อน" ที่แม้แต่ตำรวจเองก็ยอมรับว่ามี "กล้อง" ติดตัวมากขึ้น เพื่อป้องกันตัวเองจากคนที่จะมากล่าวหา!?

หรืออย่างตอนนี้ที่ผู้บริโภคกำลังใช้กันมากตามเว็บบอร์ดเลยก็คือ การถ่ายภาพหรือวิดีโอเพื่อบอกว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบการ จากเจ้าของร้าน หรือจากบริการบางอย่าง

มีกล้อง = อุ่นใจ

สมาชิกรายหนึ่งจากเว็บบอร์ดดังเพิ่งจะตั้งกระทู้เล่าถึงปัญหาจากการสั่งซื้อโทรศัพท์มือถือผ่านออนไลน์ แต่ของที่ได้กลับมีสเปคไม่ตรงกับที่สั่ง!

แน่นอนว่า หลักฐานสำคัญในการโพสต์ก็คือ “คลิป” ที่ถ่ายยืนยันตั้งแต่เริ่มเปิดกล่องพัสดุ พร้อมแคปเจอร์หน้าจอรายการการสั่งเก็บเอาไว้ด้วย โดยเหตุผลที่เก็บหลักฐานไว้ตั้งแต่แรกนั้นก็เพราะ “ไม่ไว้ใจ” บริการของร้านค้าออนไลน์ เพราะเห็นตัวอย่างจากกระทู้ และข่าวก่อนๆ ว่า มีคนได้รับของไม่ตรงกับที่สั่ง แต่ไม่ได้ “ถ่าย” เก็บไว้ ทำให้เอาไปใช้ยืนยันเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองไม่ได้

"บางครั้งอ่านในเน็ต เขาบอกเหมือนสินค้ามีปัญหา แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันผู้ขายว่า มันมีปัญหาเพราะอะไร บางที่ผู้ขายเขาบอก เขาส่งไปถูกแล้ว ตอนส่งไปไม่เห็นมีปัญหา เพื่อความปลอดภัยของเราก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้ ก็ตั้งกล้องกับโต๊ะ แล้วเปิดกล่อง ถ่ายไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็คือกะว่าเก็บไว้เฉยๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอปัญหา" อรอนงค์ เขียวรัตน์ หรือ อร นักพัฒนาโปรแกรม วัย 28 ปี เจ้าของกระทู้ที่เคยร้อนฉ่าอยู่พักหนึ่งเล่า

โดยปกติแล้ว อรชอบสั่งของออนไลน์ โดยของที่สั่งมักจะมีสเปคตายตัวอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ได้ไปเลือกตามร้านที่สามารถขอเปลี่ยนสินค้าได้หากมีปัญหา ครั้งนี้อรก็เลยเลือกที่จะถ่ายคลิปไว้ ซึ่งก็ทำให้มีหลักฐานไว้ 'งัด' กับผู้ให้บริการเมื่อเกิดปัญหาสินค้าที่ได้รับมาไม่ตรงตามที่อยากได้เสียอย่างนั้น

เมื่อแจ้งไปยังผู้ขายแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับ อรเลยเอาคลิปที่คิดว่าจะเก็บไว้เฉยๆ นี่แหละมาเป็นข้อมูลสำคัญในการตั้งกระทู้บอกเล่าไปยังสมาชิกคนอื่นๆ

"เรามีหลักฐาน ไม่งั้นก็จะเจอคอลเซ็นเตอร์บอกว่า สินค้ามันตรงแล้ว (หลังร้องเรียนมีการแก้ไขข้อมูลสเปคในเว็บไซต์ให้ตรงกับสินค้า) เราก็ไปยืนยันว่าเรามีข้อมูลนะ เหมือนเป็นหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่เราพูดปากเปล่าเฉยๆ" อรเล่าและบอกด้วยว่า ถ้าสั่งซื้อของที่มีราคาสูงทางออนไลน์ เขาก็จะถ่ายคลิปเก็บไว้อีกแน่นอน

ไม่ใช่แค่ 'นักช้อป' ที่นิยมถ่ายภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ความนิยมในการติดกล้องยังแพร่หลายมากขึ้นในหมู่ 'นักขับ' ที่อยากจะป้องกันตัวเองไว้ก่อน ไม่ว่าใครจะทำอะไร อย่างน้อยก็มีกล้องติดไว้ ยิ่งปัจจุบันสามารถหาซื้อกล้องจำพวกนี้ได้ง่ายขึ้น เช่น ที่คลองถม บ้านหม้อ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประดับยนต์ วรจักร หรือแม้แต่ตามแผนกไอทีของห้างสรรพสินค้าที่เริ่มมีจำหน่ายบ้างแล้ว ก็ยิ่งมีคนให้ความสนใจมากขึ้น

กฤษณะ สุธีโร แอดมินเพจชมรมกล้องหน้ารถ 'Car Camera Club' ที่มียอดไลค์กว่าสองหมื่น เล่าให้ฟังว่า ส่วนมากลูกเพจจะเข้ามาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสเปคกล้องหน้ารถในช่วงเทศกาลที่มีการเดินทางมากๆ และเท่าที่เขาดูในเฟนเพจ จะเจอแอคเคานท์ประมาณ 50 รายที่เปิดร้านขายกล้องหน้าออนไลน์

"อย่างน้อยผมว่า มันก็บันทึกเหตุการณ์ไว้ มันก็ยังมีภาพ มีวิดีโออัดอยู่ มันก็ดังดีกว่าถ้าเราไม่ติดเลย ถ้าเกิดวันนึงเราต้องใช้จริงๆ แล้วมันไม่มีก็แย่” เขาว่า โดยส่วนตัวเขาเอง เขาเลือกที่จะใช้ กล้องที่รับแรงสั่นสะเทือน เพราะถ้าเกิดมีรถมาเฉี่ยว แล้วเกิดการสั่นสะเทือน กล้องก็จะอัดเองโดยอัตโนมัติ

ในช่วงแรก เขาเอาภาพจากกล้องหน้ารถตัวเองมาแชร์ในเพจเพราะหวังว่าจะเป็นประโยชน์เรื่องวินัยจราจรให้คนอื่นรับรู้ แต่ทุกวันนี้เพจเขากลายเป็นพื้นที่ที่แบ่งปันความรู้เรื่องการเลือกซื้อกล้องหน้ารถไปแล้ว มีผู้ขับขี่หลายคนสนใจและแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งในความเห็นของเขา ไม่ใช่แค่รถยนต์อย่างเดียวที่ติดกล้องเพิ่ม แต่ยังมีจำนวนของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่ติดกล้องตามหมวกกันน็อคหรือแฮนด์รถเพิ่มขึ้นด้วย

"เท่าที่ดู มอ'ไซค์ก็ติดเยอะนะ แล้วก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่า มอ'ไซค์มันมีข้อพิพาทกับตำรวจเยอะ ถ้ามีกล้อง ก็จะไม่ค่อยโดน ตำรวจเขาก็จะไม่กล้าพูด เพราะมันยันกันได้ ตำรวจส่วนใหญ่เขาก็กลัวออกสื่อ แล้วตำรวจเองก็เลือกจะติดกล้องเหมือนกัน"

มีกล้อง = ฟ้องได้

เมื่อการร้องเรียนไม่จบ กระบวนการ "ฟ้องด้วยภาพ" จึงเป็นสเต็ปถัดมา โดยเดี๋ยวนี้ การใช้ภาพ หรือ คลิป เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมในฐานะหลักฐานประกอบคดีมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยกลุ่มคนที่มักจะถ่ายภาพเก็บไว้มักจะเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน

จากประสบการณ์การสืบสวนคดีของ พ.ต.ท.ศราวุธ เดชศรี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ บอกว่า คดีที่มีมีคลิปและรูปเข้ามาเกี่ยวข้องในลักษณะที่เป็นหลักฐานก็คือ คดีที่เกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย เช่น การทำร้าย การทะเลาะวิวาท ซึ่งอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายไว้ยืนยันในทางกฎหมายตั้งแต่แรก แต่เป็นการถ่ายเพื่อเอาไว้ขู่กัน

"กรณีที่ใช้ภาพ หรือคลิปเคลื่อนไหว มันจะใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่เป็นพยานหลักฐานในเบื้องต้นเท่านั้น กรณีที่มันจะใช้เป็นพยานหลักฐานได้จริงๆ จะต้องผ่านการตรวจของผ่านกองพิสูจน์หลักฐานก่อนว่า ไม่มีการตัดต่อ" พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการอธิบาย

การตรวจพิสูจน์คลิปวิดีโอเริ่มมีในคดีการเมืองก่อน โดยเริ่มจากคลิปเสียงการปราศรัยในเวทีการชุมนุมต่างๆ ส่วนในคดีอาญาเพิ่งจะเริ่มพิสูจน์เมื่อต้นปี 2556 จนถึงปัจจุบันนี้ที่ไม่ว่าคดีเล็ก คดีใหญ่ที่มีเรื่อง “ภาพ (เคลื่อนไหว)” เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วยอมความกันไม่ได้ ก็ต้องส่งไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือตามจังหวัดก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อตรวจสอบว่า "จริง" แค่ไหน

"เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นที่กระทืบเขา ก็ไม่อัดนะ มาอัดหลังเขากระทืบ ตอนที่พวกตัวเองโดนกระทำนี่อัด ตอนที่ตัวเองไปกระทำเขาเนี่ยไม่อัดเลย มันก็เป็นพยานหลักฐานที่ต้องมาชั่งน้ำหนักว่าจริงเท็จแค่ไหน" พ.ต.ท.ศราวุธ เอ่ยถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของผู้ที่มีกล้องอยู่ในมือ

โดยที่พบบ่อยๆ ก็คือ ต่อให้มีคลิป แต่จะหยิบมาใช้ก็ต่อเมื่อตัวเองได้เปรียบเท่านั้น หรือบางทีถึงขนาดตัดบางช่วงออกไป เลือกถ่ายมาเฉพาะบางส่วนเพื่อใช้เป็นหลักฐาน “เข้าข้าง” ตัวเอง

"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหม่ มันเพิ่งจะปี สองปีนี้เองที่ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐาน อย่างพวกกล้องติดหน้ารถเพิ่มขึ้นเยอะ กล้องหน้ารถนี่ก็ตัวดี บางคน รถตัวเองพุ่งเข้าไปหาเขาเองแท้ๆ พอถึงเวลาถาม ก็บอกไม่มีกล้องหน้ารถ บอกว่าฝ่ายนู้นผิด ทั้งๆ ที่ไปดูในรถก็มีร่องรอยการติดกล้อง คือ รู้อยู่แล้วว่าเสียเปรียบก็เลยไม่ใช้ แต่คือเมื่อไรตัวเองได้เปรียบนะ ก็จะอ้างมีกล้องหน้ารถ" พ.ต.ท.ศราวุธ บอก

แต่การมีภาพหรือวิดีโอยืนยัน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะใช้เป็นเครื่องชี้ว่าใครผิด ใครถูกได้ แต่ใช้เป็นตัวชี้ได้ว่า ใครจะเป็น "พยาน" ในคดีได้บ้าง ส่วนการกระทำผิดนั้นเกิดจากเจตนาอย่างไร ต้องเป็นเรื่องของศาลที่จะพิจารณาเอง ซึ่งบางกรณีที่ผ่านมา การใช้พยานหลักฐานแบบนี้ก็เคย “เข้าตัว” คนถ่ายหรือคนลงคลิป/ภาพนั้นๆ มาแล้วด้วย

"ในการที่จะใช้กล้องวงจรปิดหรือคลิปวิดีโอมาเป็นพยานหลักฐานอยู่ที่ว่า มีพยานบุคคลมายืนยันด้วยหรือไม่ว่า เหตุการณ์เป็นตามภาพวิดีโอนี้มั้ย ยังไง ให้เขาดูก่อน ถ้าเขายืนยันตามนั้น เราก็สอบเจ้าหน้าที่ของฝ่ายคนที่ไรท์จากกล้อง(บันทึกคลิป)มาให้ เป็นพยานอีกคนว่า เขาทำการไรท์ยังไง แบบไหน จากฮาร์ดดิสต์ จากช่วงเวลาไหน ฮาร์ดดิสต์ลูกที่เท่าไหร่ ถ้าเป็นไปได้ก็ขออายัด หรือไม่ก็เอาฮาร์ดดิสต์ลูกใหม่ไปเปลี่ยนให้เขา เพื่อเก็บเป็นพยานหลักฐานหรือส่งตรวจเลย"

มีกล้อง = ต้องแชร์ (?)

การใช้กล้องแล้วกระทบสิทธิของคนอื่นเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมาระยะหนึ่ง แต่ก็มีหลายคนต้องใช้เพราะเห็นว่า จำเป็นจริงๆ แต่จะใช้อย่างไรนั้น รศ.คณาธิป ทองรวีวงศ์ นักวิจัยด้านกฎหมายสื่อและสังคมออนไลน์ บอกว่า ให้ระมัดระวังเมื่อจะแชร์รูปหรือคลิปนั้นออกไป เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่ก็สามารถกระทบสิทธิคนอื่นและเข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาทได้

อย่างตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 ถ้าข้อมูลนั้นๆ เป็นเท็จแน่นอนว่า มีความผิด แต่ก็ยังต้องร่วมด้วยกฎหมายอาญาเรื่องหมิ่นประมาทที่ต่อให้ จริง แต่หากทำให้เขาเสียหายก็ผิดได้เหมือนกัน

"บางกรณี ไม่ผิด พ.ร.บ. คอมฯ (2550) แต่ผิดแง่หมิ่นประมาท เช่น ไปถ่ายรูปเขาตบกัน แล้วเขาไม่อยากให้ถ่าย เป็นเรื่องส่วนตัวเขา แต่คุณอยากจะเอามาแชร์... หรืออย่างผู้บริโภคไปกินข้าวมา ร้านนี้เกินราคาก็เอามาแชร์ ร้านนี้ขายแพง ด่าเขาซะแล้ว คือ ถ้าเป็นกฎหมายอาญา นี่คือหมิ่นประมาทเขาได้นะ เพราะคุณยังไม่ฟ้อง สคบ.เลยว่า มันแพงหรือเปล่า เป็นธรรมหรือเปล่า ด่าเขาไปแล้ว” ร.ศ.คณาธิป อธิบาย ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ถ้าผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จะยอมความไม่ได้ ส่วนคดีหมิ่นประมาทยังอยู่ในข่ายยอมความกันได้

อย่าลืมว่า การจะหยิบกล้องขึ้นมา 'ถ่าย' ไม่ได้มีกฎหมายห้าม นอกจากจะไปถ่ายในที่ส่วนตัว แต่เมื่อใดก็ตามที่กดปุ่ม 'แชร์' เมื่อนั้น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องทันที โดย รศ.คณาธิป ย้ำว่า ..จะเก็บข้อมูลก็ทำได้ อยากจะแชร์บอกต่อก็ทำได้ แต่ขอให้บอกเฉพาะ 'ข้อเท็จจริง' อย่าใส่ 'การวิพากษ์วิจารณ์' เข้าไป

แต่ที่เหล่านักสืบโซเชียลหรือตำรวจออนไลน์หลายคนทำหรือเป็นอยู่นั้น รศ.คณาธิป มองว่า "น่าเป็นห่วง" เพราะเก็บหลักฐานโดยไม่มีกระบวนการทางกฎหมายมารับรอง สามารถกล่าวหาใครก็ได้ เช่นที่เพิ่งเกิดไปที่สงสัยว่าชายคนหนึ่งใส่รองเท้ามีรู น่าจะติดกล้องไว้ในรองเท้า แล้วจึงปฏิบัติการถ่ายรูป กดแชร์ ด้วยความหวังดีอยากให้ระมัดระวัง แต่ที่จริงแล้วชายคนนั้นเป็นเพียงคนปกติที่ใส่รองเท้าขาดเท่านั้น โดย รศ.คณาธิป แนะนำว่า ควรเก็บคลิปหรือภาพไว้อ้างอิงตอนดำเนินคดีจะดีกว่าเอามาแชร์ 'หาพวก' ซึ่งจะกลายเป็นศาลเตี้ยออนไลน์แทน (social sanction) พร้อมเผยว่า จะมีกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของ "กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัล" ออกมาเร็วๆ นี้ ที่เมื่อถึงเวลานั้น อาจต้องระวังในการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นภาพมากขึ้น

"กล้อง" อาจเท่ากับ "ได้เปรียบ" ที่จะแชะหรือแชร์ก็ทำได้ตามใจ แต่จงระลึกไว้เสมอว่า.. พร้อมไหมหาก 'เรื่อง' จะย้อนกลับมาหาเราเอง!