ทวงสิทธิ แค่ชีวิตโดนทำร้าย

ถอดแว่นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคดีข่มขืนออกจากสังคมไทย เปิดมุมมองใหม่กับคู่มือที่ช่วยให้ผู้เสียหายไม่ถูกซ้ำเติม
"ตำรวจพูดจาไม่ดี พูดกับเราว่า น้องทำไมเพิ่งมาแจ้งความตอนนี้ หนูก็เลยบอกไปว่า หนูไม่รู้ต้องทำยังไงบ้าง ขั้นตอนเป็นยังไง หนูก็ไม่รู้เพราะหนูไม่ได้เรียนกฎหมายมา"
"อัยการบอกว่า ทางผู้ชายจะให้เงินหนึ่งหมื่นจะรับรึเปล่า เราก็แปลกใจ... เราเลยปรึกษาทนายของมูลนิธิ ให้ทนายโทรหาอัยการ แล้วก็ได้เรื่องว่า เขาต้องการให้เราไกล่เกลี่ยในชั้นศาล รับเงินหมื่นหนึ่งแล้วให้จบความให้"
"หนูเคยเจอตำรวจชายพูดเหมือนกันว่า ไปทำไมดึกๆ ดื่นๆ หนูก็บอกว่า ไปส่งเพื่อนเฉยๆ หนูก็ไม่คิดหรอกว่าเพื่อนด้วยกันจะทำกันได้ เขาก็บอกว่า อย่ามาไร้เดียงสา"
นี่คือประโยคบางส่วนที่ ดร.สิตา สัมฤทธิ์ หัวหน้านักวิจัยโครงการวิจัยเรื่อง "การศึกษาช่องทางการช่วยเหลือและสร้างความเข้มแข็งแก่สตรีผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ" ได้ฟังจากปากผู้หญิงผู้เสียหายในคดีความรุนแรงทางเพศ ไม่ว่าเรื่องราวจะถูกพูดออกมาด้วยความเคยชิน หรือด้วยความเชื่อเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงฐานความคิดบางอย่างของผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้เอื้อความช่วยเหลือให้กับผู้ถูกกระทำที่เป็น "ผู้หญิง" เลย
ล้างมายาคติ
จากสถิติการให้บริการของ ศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การกระทำความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงในปี พ.ศ.2556 มีจำนวน 31,866 ราย (เฉลี่ย 87 รายต่อวัน) แต่จากรายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปีเดียวกัน มีบันทึกการ "แจ้งเหตุ" คดีความรุนแรงทางเพศต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 3,273 คดี ซึ่งเท่ากับว่า มีกว่า 28,000 กรณีที่ "หายไป"
ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุของการถูกข่มขืนมาจากตัวผู้หญิงเอง ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนคือผู้หญิงที่สกปรก มายาคติที่เสมือนแว่นอันขุ่นมัวสวมอยู่ในสังคมไทยมานานเหล่านี้ ทำให้ผู้หญิงที่เสียหายส่วนหนึ่ง "ไม่กล้า" ดำเนินคดีกับผู้ร้ายตัวจริง และปล่อยให้ตัวเองที่ถูก "ทำร้าย" ตามมโนภาพเหล่านั้นเสียเอง
สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง อนุกรรมการการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านเด็ก สตรี และความเสมอภาคของบุคคล ที่ทำงานด้านการช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดมากว่า 30 ปี บอกว่า ในการสอบสวน หลายครั้งเจ้าหน้าที่ใช้คำถามที่กระทบต่อจิตใจของผู้ถูกกระทำ เช่นว่า ทำไมมาช้า จะใช้ตำรวจในการที่จะเรียกเงินเขาใช่ไหม ไปหาหลักฐานมาก่อนถึงจะดำเนินคดีให้ หรือว่าตำหนิการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมของผู้ถูกกระทำ
การหายไปของ "ผู้เสียหาย" ไม่ได้เกิดขึ้นที่ต้นทางเพียงอย่างเดียว จำนวนที่ผู้หญิงที่กล้านำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ยิ่งลดลงไปตามขั้นตอนที่มากขึ้น กว่าจะถึงอัยการ หรือกว่าจะถึงศาลราว 1-3 ปี และการต้องเล่าเรื่องราวซ้ำๆ นั่นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
ถึงอย่างนั้น ดร.สิตา ก็ยังเห็นว่า เมืองไทยมีระบบช่วยเหลือเหยื่อจากการข่มขืนที่ดี แต่อาจจะเป็นเพราะกระบวนการ ที่กลายเป็นอุปสรรค์เสียเองในระบบนี้
"บางคนเขาสู้ แต่พอไปเจอคนที่รัก แล้วเขากลัวคนจะรู้ ถอนคดีไปเฉย ตำรวจหญิงไปตาม เขาก็ไล่ เขากลัวว่า เดี๋ยวผู้ชายรู้ว่า เคยโดนข่มขืน หรือว่า บางทีเรื่องค่าใช้จ่ายก็เกี่ยว บางคนอยู่ต่างจังหวัด ต้องเดินเข้าตัวเมือง ต้องจ้างทนาย หรือว่าบางคนอ่านเอกสารที่มันเป็นภาษาไทยยังอ่านไม่ออก แล้วถ้าเป็นภาษากฎหมายอีก ชาวบ้านเขาก็อ่านไม่เข้าใจ คือถูกข่มขืนแล้วยังอ่านอันนี้ไม่ออกอีก แล้วก็ยังมีเรื่องของตำรวจที่พยายามไกล่เกลี่ยให้ หรือครอบครัวผู้ชายพยายามจะให้เงิน" เธอเล่าถึงความจริงที่ปรากฏ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะความคิดแบบ "ชายเป็นใหญ่" ที่ไม่เคยหลุดออกจากสังคม
ทบทวนสิทธิ
การศึกษาจำนวนที่หายไปของผู้เสียหายเหล่านี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า ปัจจัยตั้งต้นอาจเป็นเพราะการโยนความผิดให้ผู้หญิงว่าทำให้ตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ และหลังจากนั้นก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่ล้วนมาจากความไม่เข้าใจในสิทธิที่พวกเธอพึงมี บางสิทธิไม่เคยเข้าหูเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว อาทิ สิทธิในการได้ค่าชดเชยจาก พ.ร.บ.คุ้มครองเหยื่อ สิทธิในการขอค่ารักษาพยาบาลจากรัฐ หรือบางสิทธิกลับถูกมองข้ามไปเพราะเจ้าหน้าที่ละเลยการให้ข้อมูล
"พนักงานสอบสวนไม่ได้ถูกฝึกมาให้มีความเข้าใจในความละเอียดอ่อนแห่งเพศ ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกไม่สบายใจ คำถามของพนักงานสอบสวนอาจเป็นคำถามที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยหลัก เขาจะต้องอธิบายว่า คดีแบบนี้ ผู้เสียหายมีสิทธิอะไรบ้าง เช่น สามารถร้องขอสอบปากคำโดยพนักงานสอบสวนหญิงหรือว่า พนักงานสอบสวนหญิงไม่มีก็สามารถหาคนอื่นที่ผู้เสียหายร้องขอนั่งอยู่ด้วยในการถามปากคำ" สุเพ็ญศรี กล่าว
นอกจากนี้ บุคคลากรที่ไม่เพียงพอ และการประสานงานของหน่วยงานที่ยังไม่ราบรื่นก็เป็นปัญหา
"ตำรวจก็พยายาม มีการอบรมเรื่องความอ่อนไหวต่อเหยื่อ แม้แต่โรงเรียนสอนการสืบสวนก็มีสอนการสืบสวนเหยื่อทางเพศ แต่ว่าคดีมันเยอะ ตำรวจหญิงมีอยู่กี่คนเอง ต่อให้ตำรวจกำหนดว่า เหยื่อเหล่านี้ต้องถูกสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนหญิง แต่ในความเป็นจริง เขาก็จะเขียนว่า นอกจากว่า ไม่มี ซึ่งในความเป็นจริง คือ มีน้อย สถานีตำรวจเมืองไทยมีตั้งเป็นพันๆ มีตำรวจหญิงในฐานะพนักงานสอบสวนมีอยู่แค่ไม่กี่ร้อย" ดร.สิตาเล่า
กรณีนี้ความเห็นของหัวหน้างานสอบสวน สน.คันนายาว ที่ทำงานด้านการสอบสวนคดีล่วงละเมิดทางเพศมากว่า 20 ปี อย่าง พ.ต.ท.สุบรรณ์ อธิเศรษฐ์ ยอมรับว่า บุคลากรไม่เพียงพอจริง แต่การสอบสวนในปัจจุบันพัฒนาขึ้นกว่าเดิมแล้ว
"ที่ผ่านมาเราไม่มีพนักงานสอบสวนหญิง ผู้ชายก็ทำเองมานานพอสมควร พอมีพนักงานสอบสวนหญิงก็สามารถแบ่งเบาได้เยอะ เรื่องการตั้งประเด็น การตั้งคำถาม พนักงานสอบสวนหญิงเขาจะรู้ว่า ต้องตั้งยังไง เขาอาจจะเลี่ยงได้ แต่รวมๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องด้วย"
นอกจากความอาย หรือสถานะของครอบครัวแล้ว การไกล่เกลี่ยด้วยตัวเองก็เป็นอีกทางที่คนชอบใช้ ก่อนจะมาแจ้งความ ซึ่งในความจริงนั้น ถ้าเป็นคดีที่เกี่ยวกับเยาวชนจะยอมความไม่ได้
สร้าง "คู่มือ"
"เรื่องนี้สำคัญที่จะต้องสื่อสาร" ธวัชชัย แสงธรรมชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท why not social enterprise ยืนยัน เพราะความเข้าใจผิดที่เชื่อมโยงให้ผู้เสียหายกลายเป็นผู้ร้ายมีอยู่จริงทั้งใน และนอกจอโทรทัศน์
ผู้จัดละครอย่าง ยศสินี ณ นคร ยอมรับระหว่างงานเปิดตัวแคมเปญ "รักนวลสงวนสิทธิ์" และ "heforshe" เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า มีอยู่จริงในฉากละคร ซึ่งกลุ่มผู้จัดก็รับมาเป็นโจทย์หนึ่งที่จะช่วยกันปรับเปลี่ยนทัศนคติเหล่านี้ให้ถูกต้อง
ข้อความ "หยุดข่มขืนด้วยการหยุดซ้ำเติม" ปรากฏอยู่ในกล่องคู่มือ "รักนวลสงวนสิทธิ์" ที่เขาร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยทำขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันที่บรรจุทั้ง แผ่นพับ โปสเตอร์ คู่มือเล่มเล็ก และสายรัดข้อมือที่ระลึก เอาไว้
กล่องคู่มือนี้เป็นสื่อแบบใหม่ที่ย่อยข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง "วิธีการของกระบวนการยุติธรรมในคดีความรุนแรงทางเพศ" และ "การศึกษาช่องทางการเข้าถึงความช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรมของผู้หญิงที่ถูกทารุณทางเพศ" ไว้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ซึ่ง ธวัชชัย คิดว่าจะได้ประโยชน์มากกว่าตำราทั่วไปที่มักถูกปล่อยวางทิ้งไว้ตามโต๊ะหรือชั้นหนังสือของหลายหน่วยงาน
โปสเตอร์ที่จัดทำขึ้นมี "สาร" ที่จะสื่อไปยัง ตำรวจ หมอ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ ครอบครัว ชุมชน และตัวผู้หญิงเองว่า จะต้องรู้ข้อมูลจำเป็นอะไรบ้าง ด้วยความหวังว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคมจะทำให้ผู้หญิงที่เสียหายจากความรุนแรงทางเพศสามารถมองเห็นภาพรวมของกระบวนการยุติธรรม สิทธิที่พึงมี และความช่วยเหลือที่รัฐและเอกชนมีให้ได้
"ในกล่องจะมีสารสำหรับผู้หญิง สำหรับตำรวจที่จะต้องดำเนินคดี พูดถึงความเข้าใจผิด หรืออุปสรรคบางอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในระหว่างกระบวนการดำเนินคดี ข้อควรรู้ เป็น How-to ต่างๆ สำหรับหมอ และพยาบาล ที่เมื่อมีเหยื่อเข้ามาที่โรงพยาบาล สำหรับนักสังคมสงเคราะห์ เราจะเหมือนทำเป็นไกด์ไลน์ให้ว่า เมื่อเกิดกรณีต้องทำอะไร สุดท้าย สำหรับครอบครัว และชุมชนรอบข้างที่ควรจะปฏิบัติต่อเหตุการณ์แบบนี้อย่างไร" ธวัชชัยอธิบาย
นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกที่หลายฝ่ายพยายามช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่หากทุกคนทำตัวเป็นเหมือน "คู่มือ" ที่พร้อมจะเข้าใจ และช่วยเหลือผู้ถูกกระทำได้ก็น่าจะช่วยทุเลาปัญหาเหล่านี้ให้จางไปจากสังคมได้
หยุด "ข่มขืน"
- การถูกข่มขืนไม่ใช่เรื่องบาป แต่เป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมที่ต้องได้รับการแก้ไข และทุกคนมีส่วนแก้ปัญหาได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติ
- เมื่อถูกข่มขืน อย่าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้าตรวจร่างกายและรักษาอาการบาดเจ็บกับโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง
- ในการสอบปากคำ สามารถบันทึกภาพและเสียงการถามไว้เป็นหลักฐานได้
- กฎหมายอนุญาตให้การท้องที่มีสาเหตุมาจากการถูกข่มขืนสามารถทำแท้งได้ แต่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
- ในชั้นศาล สามารถร้องขอสิทธิรับเงินช่วยเหลือด้านกฎหมาย ร้องขอดำเนินคดีได้ ได้แก่ เงินค่าธรรมเนียมศาล ค่าจ้างทนายความ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และขอให้การพิจารณาเป็นความลับได้
ที่มา : คู่มือปฏิบัติการ “รักนวลสงวนสิทธิ์” สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย







