ใต้ร่มสลากย้อม

ใบหน้าอิ่มบุญของชาวเมืองลำพูน ในประเพณีถวายสลากย้อม เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2557 ที่ผ่านมาทำให้ผมประทับใจอย่างมาก
สำหรับเมืองเล็กๆ ที่แทบจะถูกมองข้ามไปอย่างลำพูน การเป็นเมืองที่ใกล้เมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ทำให้ลำพูนถูกกลบกลืนไปเสียสิ้น แม้จะอยู่ห่างกันไม่ถึง 50 กิโลเมตรก็ตาม แต่ในวันงานสลากย้อมนี้ ความเป็นลำพูนถูกขับให้โดดเด่นออกมาอย่างเต็มที่
คนลำพูนเดิมๆ นั้นสืบเชื้อสายมาจากชาว “ยอง” ซึ่งคนกลุ่มยองเป็นพงศ์เดียวกับไตลื้อ ที่สืบฐานดั้งเดิมอยู่ที่สิบสองปันนา แล้วย้ายมาเมืองยอง ในรัฐฉานของเมียนมาร์ ยองลำพูนเป็นกลุ่มคนที่เจ้ากาวิละให้มาตั้งรกรากที่ลำพูน หลังจากปลอดพ้นการปกครองของพม่าแล้ว เพื่อสานสร้างเมืองใหญ่ในอดีตอย่างหริภุญชัยให้คงสืบไปในอนาคต ลำพูนจึงเป็นเมืองของคนยอง
แต่ความเป็นยองในสมัยนี้คงยากที่จะแสดงตัวตนชัดในชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งภาษาพูดจากคนสมัยใหม่ แต่ยังอาจหาฟังได้จากผู้สูงวัย สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำให้เด็กชาวลำพูนลูกหลานชาวยองได้ตระหนักถึงความเป็นคนยองของตนก็คือ การแต่งกายในสถานศึกษาในวันสุดท้ายของสัปดาห์ ที่เด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงยังคงแต่ชุดพื้นเมืองของชาวยองไปโรงเรียน ส่วนคนพ้นวัยเรียน คงมีแต่ช่วงเทศกาลงานบุญใหญ่ๆ โดยเฉพาะงานบุญสลากย้อมนี้ที่จะได้แสดงตัวตนความเป็นคนยองออกมาผ่านเครื่องแต่งกายที่สวยงาม เรียบง่าย แต่มีเสน่ห์และประเพณีที่ยิ่งใหญ่
สลากย้อมเป็นงานประเพณีของชาวล้านนา คล้ายกับสลากภัตที่เรารู้จักกัน เป็นประเพณีบุญใหญ่ที่มีก่อนออกพรรษา เป็นการถวายทานโดยไม่ได้เจาะจงผู้รับ คติเดิมนั้นการถวายสลากย้อมเป็นเรื่องของหญิงสาวที่จะถวายทานเพื่อการสืบต่อศาสนา โดยแต่ก่อนเขาเจาะจงขนาดว่าหญิงสาวที่จะถวายสลากย้อมต้องอายุ 20 ขึ้นไปแล้ว และยังไม่แต่งงาน การถวายสลากย้อมนั้นจึงจะได้อานิสงส์เทียบเท่ากับการบวชของผู้ชายนั่นเอง คำขวัญของงานสลากย้อมลำพูนจึงเป็น “เกิดเป็นหญิงชาตินี้ ขอได้ทานสลากย้อมสักครั้งหนึ่ง จะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่”
ต้นสลากย้อมจะเป็นเสาที่มีฐานตั้ง แล้วมีไม้หรือกิ่งยาวออกมาเพื่อผูกห้อยของถวายทาน มีการตกแต่งที่สวยงาม รวมทั้งฝอยไม้ไผ่ที่มาจากการเหลา ซึ่งเดิมเป็นผลมาจากการเหลาไม้ไผ่ทำเสาสลาก แม้มาสมัยนี้บางทีใช้วัสดุอื่นแต่ก็ยังเอาฝอยไม้ไผ่มาย้อมสีเพื่อแต่งต้นสลากย้อม นี่อาจเป็นที่มาของชื่อสลากย้อมก็ได้ ต้นสลากย้อมมีทั้งต้นใหญ่และต้นเล็ก ในอดีตหญิงสาวที่จะถวายทานสลากย้อม ก็จะเตรียมการนาน หญิงสาวที่ฐานะดีก็จ้างวานคนมาช่วย ถ้าเป็นหญิงงามก็จะมีชายหนุ่มมาช่วยกันมาก เดี๋ยวนี้สาวลำพูนที่ไปทำการทำงานที่อื่น กลับมาแต่งต้นสลาก หนุ่มๆ ก็จะมองต้นสลากของเธอว่าเธอเป็นแม่เหย้าแม่เรือนขยันขันแข็งหรือไม่ นี่เป็นมิติทางสังคมผ่านการแต่งต้นสลากย้อม แต่เดี๋ยวนี้การถวายสลากย้อมไม่ใช่เรื่องเฉพาะหญิงสาวอีกแล้ว หากแต่เป็นกิจกรรมของชุมชนที่มาร่วมแรงร่วมใจแต่งต้นสลากย้อมแล้วนำมาถวายพระที่วัดด้วยกัน
จุดหลักใหญ่ที่เขาจัดจะอยู่ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งในวัดมีการแต่งต้นสลากย้อมต้นใหญ่ สูงนับ 10 เมตร อยู่หลายต้น มีซุ้มบ้านต่างๆ เป็นเจ้าของ ใครที่ไปในงานจะร่วมทำบุญ ถวายทานกับซุ้มบ้านไหนก็ถือว่าได้กุศลใหญ่หมด แต่ที่เป็นความร่วมใจของคนลำพูน ก็คือเขาจะมีการแห่เป็นขบวน เริ่มตั้งแต่กำแพงเมืองหริภุญชัยข้างจวนผู้ว่า มาที่วัดพระธาตุหริภุญชัย งานนี้ถือเป็นงานอีเวนต์ของชาวบ้านจริงๆ ที่คนลำพูนที่มีส่วนร่วมทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เครื่องแต่งกายแบบพื้นเมืองชาวยองลำพูน ต้นสลากย้อมทั้งต้นใหญ่และต้นเล็ก แต่ละหมู่บ้านก็เอาของดีของเด่นชุมชนตัวเองมาตกแต่งต้นสลาก แล้วนำมาร่วมขบวน ซุ้มบ้านใครก็ซุ้มบ้านมัน มีการจัดรูปแบบขบวนการแสดงประกอบ ทั้งร่ายรำแบบชาวยอง ทั้งขับซอไปตลอดที่ขบวนเดินทาง เสียแต่ปีนี้ขบวนเริ่มช้าไปหน่อย กว่าจะมาถึงวัดหมดก็เล่นเอาดึกดื่น
สำหรับคนเดินทางอย่างผม งานสลากย้อมของคนลำพูนนั้น เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจใต้ร่มเงาศาสนา ไม่ใช่หวือหวาด้วยเทคโนโลยีของการจัดงาน เสาต้นสลากย้อมที่สูงใหญ่ตั้งเด่นข้างวิหารวัดพระธาตุหริภุญชัยวันนั้นโดดเด่นสะดุดตายิ่ง ในวันที่ฟ้าเป็นสีฟ้าช่างเป็นภาพสวยงามที่คนไม่เคยเห็นต้องทึ่งในความศรัทธาของผู้คนชาวเมืองลำพูนที่ศรัทธาในศาสนาอย่างมาก ยิ่งดึกคนยิ่งมาร่วมงานมาก ทั้งมาชมความงามของต้นสลากย้อมและมาร่วมถวายสิ่งของเพื่อถวายทานในวันถัดไป ค่ำคืนนั้นผมเห็นแต่รอยยิ้ม อิ่มบุญและบรรยากาศแห่งงานประเพณีที่ประทับใจมาก
ปีหน้าผมเชิญชวนท่านผู้อ่านว่าอย่าพลาดของดีที่ลำพูน เขาจะจัดช่วงก่อนออกพรรษาราวๆ เดือนกันยายน ถ้าจะให้ชัวร์ก็ลองโทรไปถาม ททท.เชียงใหม่หรือที่สำนักวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน โทร. 0 5351 1104 ได้วันมาแล้วท่านผู้อ่านก็ขีดไว้บนปฏิทินเลย เขาจะแห่กันช่วงบ่ายๆ ช่วงเช้าก็ไปสักการะอนุเสาวรีย์เจ้าแม่จามเทวี ไปเที่ยววัดจามเทวี วัดมหาวัน(พระรอดลำพูน) ไปหาชิมก๋วยเตี๋ยวลำไย
แล้วถ้าจะให้ดี ท่านควรเลือกค้างคืนที่ลำพูนสักคืนหนึ่ง ซึ่งผมยอมรับเลยว่าไม่เคยค้างลำพูนเลย คราวนี้มัวแต่รอถ่ายรูปพลุในงาน เลยเลิกดึก จึงมีโอกาสค้างลำพูน ดีที่มีบ้านหละปูน ที่พักที่มีเพียง 9 ห้อง ใกล้สถานีตำรวจนั่นแหละจึงทำให้ได้มีโอกาสได้เห็นลำพูนยามค่ำคืน เช้าๆ ตื่นไปดูตลาดเช้าของชาวยองลำพูน มันเป็นอะไรที่ต่างจากเชียงใหม่ที่คุ้นเคยจริงๆ เมืองนี้สงบ แม้จะอยู่ใกล้เมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ ผู้คนใกล้ชิดศาสนาเห็นชัดในงานสลากย้อมและคนลำพูนที่ใส่บาตรยามเช้า ผมว่าช่างภาพน่าจะชอบกับบรรยากาศแบบนี้
ได้ถามผู้มาร่วมงานที่พาลูกสาววัยกำลังซนได้ความว่ามาจากเชียงใหม่นี่เอง ที่ต้องมาเพราะว่าเป็นประเพณีหนึ่งเดียวในโลก คนยองมีทั่วไปหลายจังหวัดในล้านนาก็จริง แต่มีเพียงที่นี่ที่เดียวที่จัดงานสลากย้อมขึ้น โชคดีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซะก่อน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเห็นเขามีงานแห่สลากย้อมที่สุพรรณก็เป็นไปได้
การแสดงตัวตน ไม่ใช่วัดจากงานที่ไปเอาของดีแต่ละแห่งมาจัดแสดงที่บ้านตัว นอกจากจะเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณที่แสดงออกผ่านประเพณีนั้นอย่างแท้จริงแล้ว มันทำให้เราดูไร้รากอย่างไรพิกล
ณ วันนี้ สลากย้อม ทานบุญใหญ่จึงยังอยู่ที่ลำพูน ปีหน้าจะไม่ลองไปดูหรือครับว่าทำไมผมถึงชอบงานนี้นักหนา







