บุรีรัมย์'สปอร์ตซิตี้' โมเดลในฝัน'เนวิน ชิดชอบ'

บุรีรัมย์'สปอร์ตซิตี้' โมเดลในฝัน'เนวิน ชิดชอบ'

(รายงาน) บุรีรัมย์ "สปอร์ตซิตี้" โมเดลในฝัน "เนวิน ชิดชอบ" สร้างมูลค่าเพิ่มสู่ความยั่งยืน

สนามแข่งรถ "ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต" จะเปิดแข่งขันรายการแรก 4-5 ต.ค.นี้ ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจบริหารสนามแข่งขันในไทยเป็นธุรกิจที่เกิดยาก ทำกำไรยาก แต่ในมุมมองของ "นายเนวิน ชิดชอบ" ประธานที่ปรึกษา บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ( BRIC) ผู้บริหารสนาม เชื่อว่าจะนำพาเซอร์กิตนี้ให้ประสบความสำเร็จ และยิ่งกว่านั้นยังมีแนวคิดอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อผลักดันให้บุรีรัมย์ กลายเป็นเป้าหมายหลักของไทย ที่ทั้งคนไทยและต่างชาติจะต้องเดินทางมาเยือน

นายเนวินกล่าวว่า ที่ผ่านมาบุรีรัมย์ถือว่าเป็นเมืองผ่าน ไม่ใช่เป้าหมายของคนเดินทาง ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้เงิน ไม่เคยมีการค้าขายที่ดี แต่วันนี้คนบุรีรัมย์มีโอกาสที่จะหารายได้จากคนต่างถิ่นมากขึ้น

"ผมมีเป้าหมายให้บุรีรัมย์ต้องเป็นเมือง 1 ใน 5 ของไทย ที่คนอยากมามากที่สุด ตั้งเป้าให้เป็นเดสติเนชั่น แต่การจะไปถึงจุดดังกล่าวได้ เรื่องของการจัดการ การแก้ปัญหาต่างๆ ก็จะต้องทำให้เป็นมาตรฐานโลก ไม่ใช่เป็นไทยแลนด์ สแตนดาร์ด ถ้าไม่ใช้มาตรฐานโลก เราจะไม่ก้าวข้ามปัญหาที่เป็นวังวนอย่างทุกวันนี้"

แนวคิดดังกล่าวเป็นที่มาของแนวทางการสร้างสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีผู้กล้าทำ ทั้งสนามฟุตบอลระดับโลกของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาจนถึงสนามแข่งขันรถยนต์และจักรยานยนต์ระดับโลก มาตรฐาน FIA Grade1 และ FIM Grade A ซึ่งสามารถรองรับการรถแข่งรถที่ไฮเทคและใช้ความเร็วสูงสุดในโลกอย่าง ฟอร์มูล่า 1 ได้

สร้างมูลค่าเพิ่มสู่ความยั่งยืน

นายเนวิน กล่าวว่า เคยศึกษาเรื่องต่างประเทศ เช่น สหรัฐ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐแต่ละรัฐสร้างตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร มีจุดขายของตัวเอง นั่นคือวิธีคิดของรุ่นใหม่ และในช่วงหนึ่งที่รับราชการมีโอกาสเดินทางไปตะวันออกกลางทำให้ได้เห็นการสร้างเมืองของชาวอาหรับบนพื้นที่แห้งแล้ง ซึ่งช่วงนั้นรู้สึกว่าไม่น่าทำ แต่ก็เข้าใจในที่สุดว่าเป็นการนำเงินไปสร้างอนาคต ซึ่งเป็นแนวคิดที่แตกต่างจากเมืองไทย

"บ้านเราไม่มีการเตรียมการอะไร แต่ตะวันออกกลางเขาคิดว่าในอนาคตเมื่อน้ำมันหมดแล้วลูกหลานจะอยู่อย่างไร เขาจึงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด สร้างสกีโดมกลางทะเลทราย เอาไว้ให้คนไปเที่ยว มันแปลกที่คุณสามารถเล่นเจ็ตสกีในทะเลทราย ถือว่าครีเอทีฟมาก ดังนั้น ครีเอทีฟ ที่สร้างขึ้นใหม่เป็นกลไกสำคัญ มูลค่ามหาศาล"

กลับมาที่บุรีรัมย์ การก่อสร้างสนามแข่งรถถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ ใช้เงินถึง 3,000 ล้านบาท สูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้แต่เดิมคือ 2,000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนดังกล่าวถือว่ามีความเสี่ยงไม่น้อย ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดจึงกล้าทำ ซึ่งคำตอบก็คือ "ต้องการให้บุรีรัมย์ เป็น เดสติเนชั่นหนึ่งของคนไทย" ซึ่งจะสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของการใช้ชีวิตของคนคนรุ่นใหม่และรุ่นที่มีอายุ 45 ลงมา

ทั้งนี้เห็นได้ว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยเปลี่ยนจากสังคมที่อยู่กันแบบครอบครัว เดินทางด้วยกันทั้งครอบครัว มาเป็นสังคมสี่เหลี่ยม พักอาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ สังคมที่เปลี่ยนไปทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไปเช่นกัน ทุกคนมองเรื่องของตัวเอง และมองเรื่องการหาความสุข มองหาแหล่งบันเทิงให้ตัวเองทุกช่วงวันหยุด

"ผมกลับมาคิดว่าสถานที่ที่คนเราจะไปมี 2 อย่าง คือ 1 มีอะไรที่เอ็นเตอร์เทนไหม เช่น ภูเขา ทะเล เช่น พัทยา ชะอำ ภูเก็ต ถ้าไม่ใช่ก็ต้องข้อ 2 คือ อีเวนต์ที่น่าสนใจ แต่ที่ผ่านมาคนบุรีรัมย์ไม่โชคดีเหมือนคนหัวหิน ภูเก็ต ดังนั้นเราก็ต้องสร้างเมืองให้มีอีเวนต์ แต่ต้องไม่ใช่แค่ปีละวัน ไม่ใช่แค่ออกพรรษา ไม่ใช่แค่ผีตาโขน ปีละวัน หรือเที่ยวเชียงคานก็ปีละหนเดียว ถ้าเราสามารถสร้างอีเวนต์ให้มากที่สุด คนที่คิดไม่ออกว่าจะไปที่ไหนต้องนึกถึงเมืองบุรีรัมย์"

นายเนวินกล่าวว่า การสร้างสถานที่สำหรับอีเวนต์จะไม่หยุดเพียงแค่นี้ โดยหลังจากเปิดสนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งมีเป้าหมายจัดอีเวนต์อย่างต่ำ 30 ครั้งต่อปีแล้ว ก็จะเดินหน้าจัดแข่งรถทางตรง (แดร็กซ์เรซ) ทุกสัปดาห์ รวม 52 เรซ ทำให้สนามมีกิจกรรมทุกสัปดาห์

"ผมเชื่อว่าไม่เกิน 5 ปี เมืองไทยจะเหลือเพียง 10 เดสติเนชั่น ดังนั้นใครสร้างเมืองให้เป็นเมืองเป้าหมายของการเดินทางได้ คนนั้นรอด นี่คือสิ่งที่เราคิด และตัดสินใจทำ ตอนนี้บุรีรัมย์มีสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ และสนามยิงปืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน"

ยกระดับบุรีรัมย์ "สปอร์ต ซิตี้"

ส่วนแผนการต่อจากนี้ไป จะลงทุนสร้างสปอร์ตเอดเวนเจอร์ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และจะทำให้ภาพของบุรีรัมย์เป็น "สปอร์ต ซิตี้" ที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ผ่านมามีแต่คนคิด ไม่มีใครเริ่ม เพราะอาจหาผู้เข้ามาร่วมงานไม่ได้ ทำให้ต้องล้มเลิกความคิดไป แต่ที่บุรีรัมย์แตกต่างจากที่อื่นๆ นั่นคือการดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม พัฒนาไปด้วยกัน และได้ประโยชน์ร่วมกัน

"ผมบอกเลยว่าผมเป็นนักธุรกิจ คิดลงทุนก็เอากำไร แต่เป้าหมายสูงสุดของผมคือ ไม่เกิน 40% ที่เหลือเป็นเรื่องที่ส่วนรวมจะต้องได้ มันถึงจะอยู่กันได้ อย่างโรงแรม อมารี ผมลงทุน 200 ห้องก็ได้ แต่ทำไมทำแค่ 60 ห้อง คือเราทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วก็ให้คนท้องถิ่นไปทำต่อ ใครมีกำลังก็ทำไป เขาไม่ต้องมากลัวว่า ปลาใหญ่กินรวบ รวยคนเดียวหมด"

พร้อมยกตัวอย่างว่า การเปิดสนามแข่งรถครั้งแรก ส่งผลให้ที่พักในบุรีรัมย์ถูกจองจนเต็มหมดแล้วในขณะนี้ ก็จะทำให้คนในพื้นที่เห็นในโอกาสสร้างรายได้ เช่น การจัดทำเต็นท์ที่พัก หรือบ้านไหนว่างก็อาจทำเป็นโฮมสเตย์ ซึ่งเชื่อว่าระยะเวลา 2 วัน จะสร้างรายได้ให้บ้านที่เข้าร่วมอย่างน้อย 500 บาท

"ที่นี่เป็นเซอร์กิตเดียวที่อยู่กลางเมืองแล้วไม่มีปัญหากับท้องถิ่น ที่นี่เสียงไม่ใช่มลพิษ เพราะทุกคนรู้ว่า ถ้าเมื่อไรเสียงดังหมายถึงทุกคนมีโอกาสได้เงิน ยิ่งดังเท่าไรยิ่งมีคนเอาเงินมาให้"

ปัจจุบันบุรีรัมย์ มีจำนวนห้องพักประมาณ 5,000 ห้อง แบ่งเป็นระดับ 3 ดาว 2,000 ห้อง และคาดว่าภายในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ห้อง โดยมีโรงแรมใหม่เกิดขึ้น เช่น เบสท์ เวสเทิร์น ที่กำลังจะเปิดบริการ โรงแรมเทพนครสร้างอาคารใหม่อีก 200 ห้อง และยังมีเมืองแฝดที่เดินทางไม่ไกลคือ สุรินทร์ ระยะทาง 60 กม.กับถนน 4 เลน ที่มีโรงแรม 3 ดาว รองรับอีก 3,000 ห้อง

นายเนวินกล่าวว่า นอกจากนี้การพัฒนาในหลายๆ ส่วนที่ผ่านมา ยังช่วยให้เกิดการเพิ่มมูลค่าหลายอย่างในพื้นที่ เช่น ที่ดินจากเดิมราคาต่อไร่อยู่หลักแสนบาท ขณะที่ปัจจุบันราคาประเมินอยู่ไร่ละ 1-1.5 ล้านบาท แต่การซื้อขายจริงขึ้นไประดับ 10 ล้านบาท

มั่นใจ 5 ปี "เซอร์กิต" คืนทุน

สำหรับธุรกิจสนามแข่งรถเชื่อว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี เร็วกว่าเดิมที่ตั้งไว้ 7 ปี เพราะขณะนี้ได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงเป็นผลจากการที่ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์รายการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตมาบริหารเอง เช่น การแข่งขันมอเตอร์จีพี ค่าลิขสิทธิ์ 7 ล้านยูโร (ประมาณ 293 ล้านบาท) ซูเปอร์จีที 3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 90 ล้านบาท) ขณะที่ในส่วนของสนามจะทำรายได้จากผู้สนับสนุน และการจำหน่ายสินค้าที่ระลึก

ซึ่งขณะนี้รายได้จากผู้สนับสนุนมีมูลค่ารวม 270 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการใช้เป็นบริหารจัดการได้ตลอดปีหน้า ขณะที่การแข่งขันรายการแรก ซูเปอร์จีที 4-5 ต.ค.นี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่จะมาชม ประมาณ 3,000 คน และประเมินว่าจะสร้างรายได้จากค่าบัตรเข้าชม 40 ล้านบาท

นอกเหนือจากเรื่องของการยกระดับเมือง การสร้างรายได้ สิ่งที่เป็นความคาดหวังอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การที่สนามแข่งรถนี้จะได้รับการบันทึกว่าสร้างเร็วที่สุดในโลก

"ไอ โมบาย เป็นสนามฟุตบอลที่สร้างเร็วสุดซึ่งบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊ค คือ 250 วัน ส่วนสนามแข่งรถนับแต่วันเซ็นสัญญา จนถึงวันนี้ใช้เวลา 1 ปี 5 เดือน ขณะนี้รอให้กินเนสส์บุ๊คตรวจสอบว่าจะได้รับการบันทึกว่าเร็วที่สุดหรือไม่" นายเนวินกล่าว