นิยามแห่งเสียงดนตรีที่เปลี่ยนไป

นิยามแห่งเสียงดนตรีที่เปลี่ยนไป

บวรพงศ์ ศุภโสภณ เขียนถึงการแสดงรอบปฐมทัศน์ของเชลโล คอนแชร์โต ชิ้นใหม่ของ ณรงค์ ปรางค์เจริญ

คอลัมน์สนามวิจารณ์เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับการแสดงความคิดเห็นด้านสังคม ไลฟ์สไตล์ ศิลปวัฒนธรรม บันเทิง ส่งบทความของคุณมาได้ที่ [email protected]

มีเรื่องราวประเด็นต่างๆ ที่น่าประทับใจเกิดขึ้นมากมายในการแสดงคอนเสิร์ตของวงทีพีโอ (Thailand Philharmonic Orchestra - TPO )ในบ่ายวันเสาร์ที่23 สิงหาคมพ.ศ.2557 ณ หอแสดงดนตรีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางมาฟังดนตรี และเป็นประธาน(อย่างไม่เป็นทางการ) ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ , การนำผลงานการประพันธ์ดนตรีชิ้นใหม่ของ ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ ดุริยกวีชาวไทยผู้มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในเวทีดนตรีคลาสสิกสากล ออกแสดงรอบปฐมทัศน์, การนำเสนอผลงานประพันธ์ดนตรีชิ้นใหม่แนวไลท์คลาสสิก (Light Classic) สำนวนไทยอันไพเราะและน่าสนใจของ พ.ท.ประทีป สุพรรณโรจน์, การบรรเลงเดี่ยวเชลโลครั้งสำคัญของ ตปาลิน เจริญสุข นักเล่นซอเชลโลที่ขณะนี้ยืนอยู่ระดับแถวหน้าสุดของบ้านเรา และการกำกับวงทีพีโอของวาทยกรจอมพิถีพิถัน อย่าง อัลฟอนโซ สการาโน (Alfonso Scarano) ที่สร้างระบบระเบียบให้เป็นที่ประจักษ์แตกต่างได้ทุกครั้งในการกำกับวงของเขา

สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาประดังเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตครั้งนี้ครั้งเดียว โดยยากที่จะละเว้นไม่กล่าวถึงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ขอเริ่มกันที่เรื่องราวของ ณรงค์ ปรางค์เจริญ บุคลากรชั้นนำทางดนตรีคลาสสิกที่ในขณะนี้ เขากลายเป็นทรัพยากรบุคคลทางดนตรีในระดับสากลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาได้รับรางวัลทางด้านการประพันธ์ดนตรีระดับนานาชาติมากมาย สื่อสิ่งพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาทั้งที่ชิคาโกและนิวยอร์ค กล่าวยกย่องชื่นชมผลงานดนตรีของเขาที่นำออกแสดงที่คาร์เนกีฮอล (Carnegie Hall )เป็นอย่างดี

ผลงานดนตรีของ ณรงค์ ได้รับการนำออกบรรเลงโดยวงออร์คสตราชั้นนำหลายวง อาทิ บัลติมอร์ ซิมโฟนี ออร์เคสตรา, เช็ค ฟิลฮาร์โมนิก, มินเนโซตา ออร์เคสตรา, โตเกียว ฟิลฮาร์โมนิก, โอเรกอน ซิมโฟนี ออร์เคสตรา.....ฯลฯ ณรงค์ คือ หนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกยุคปัจจุบันที่ผลงานการประพันธ์ดนตรีของเขาถูกจับจองล่วงหน้า วงออร์เคสตราระดับนานาชาติหลายวง รอบรรเลงผลงานดนตรีจากปลายปากกาของเขา ในแบบที่เรียกกันว่า “ตั้งแต่น้ำหมึกยังไม่แห้ง” เขาสอนดนตรีอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ อย่าง University of Missouri นักประพันธ์ดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของโลกยุคปัจจุบันอย่าง เช็ง ยี (Chen Yi) หรือแม้กระทั่ง จอห์น คอริเกลียโน (John Corigliano) ยอมรับและกล่าวยกย่องผลงานดนตรีของ ณรงค์ เป็นอย่างดี

ครั้นย้อนมาดูในบ้านเราแล้ว ก็คงน่าถอนหายใจแรงๆ เพราะในแวดวงสังคมบ้านเรา ชื่อของ ณรงค์ ปรางค์เจริญ ยังคงทำให้หลายคนคิ้วย่นและส่ายหน้า เพราะไม่รู้จักจริงๆ ว่าชื่อนี้คือใคร และมีความสำคัญอย่างไร? (เรื่องราวของ ณรงค์ ยังเป็นที่รับรู้น้อยกว่าการประกวดวงโยธวาทิตของนักเรียนมัธยมด้วยซ้ำไป!)

ผลงานดนตรีของ ณรงค์ที่นำออกแสดง (รอบปฐมทัศน์) ในครั้งนี้ คือบทเพลง “Far From Home” สำหรับบรรเลงเดี่ยวเชลโลกับวงซิมโฟนีออร์เคสตราขนาดเต็มอัตรา ณรงค์ ปรางค์เจริญ เขียนผลงานดนตรีชิ้นนี้แบบ “ไม่ยั้งมือ” มันคือ เชลโล คอนแชร์โต ยุคใหม่ ที่ผสมผสานองค์ประกอบทางดนตรีใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลาย ทั้งเทคนิคการบรรเลงเดี่ยวเชลโลอันยากเย็นอย่างมีนัยสำคัญ เทคนิคการบรรเลงของวงออร์เคสตราที่ไปไกลกว่าเพียงคำว่า “สีสันทางเสียง” (Tone Colour) หากแต่ได้ก้าวไปถึงขั้น “สัมฤทธิผลทางเสียง” (Sound Effect) ซึ่งสร้างผลกระทบทางอารมณ์-ความรู้สึกของผู้ฟังดนตรีด้วยการผลิตเสียงในวิธีการใหม่ๆ อันหลากหลาย ที่ไม่จำกัดอยู่เพียงวิธีการบรรเลงดนตรีทั่วไปในตำราดนตรีแบบฉบับ

บทเพลงนี้เรียกร้องเทคนิคการบรรเลงดนตรี ทั้งในส่วนของแนวเดี่ยวเชลโลและวงออร์เคสตราด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดา เฉดสีที่ณรงค์เลือกใช้ มีขอบเขตการแสดงออกที่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างไกล กว่าบรรดาบทเพลงมาตรฐานที่เราเคยฟังๆ กันมาหลายเท่าตัว บางตอนให้เสียงอึมครึม,บางตอนให้เสียงราวกับว่าเรากำลังอยู่ในห้วงอวกาศ (ในที่นี้มิได้หมายความว่าเหมือนบทเพลงประกอบภาพยนตร์ Star Wars เพราะมันมีความหมายมากกว่านั้นเยอะ) บางตอนส่งเสียงจ้อกแจ้ก-โกลาหลที่เราไม่สามารถร้องฮัมเป็นแนวทำนองใดๆ ได้

ในส่วนของแนวบรรเลงเดี่ยวเชลโลนั้น ตปาลิน เจริญสุข ยังคงรักษามาตรฐานอันดีไว้ได้ แม้ว่าตัวบทเพลงจะยากมาก ไม่มีการต้องออกแรงลุ้นในจุดใดๆ ในด้านเทคนิค ณรงค์เขียนบทเพลงนี้ โดยให้เชลโลเลียนแบบบุคลิกภาพทางดนตรีของซอสามสายไทย มีลีลาการบรรเลงบางตอนที่มีลักษณะกึ่งร่าย (Recitative) แบบลีลาซอสามสายประกอบการขับร้องไทย ณรงค์ ผสมผสานบุคลิกภาพของเครื่องดนตรีสองชนิด, สองสายพันธุ์นี้ ได้อย่างสนิทและแนบเนียน ไม่สะดุดความรู้สึกใดๆ

ซอเชลโลในมือของ ตปาลิน เจริญสุข สามารถเปล่งเสียงด้วยสีสันแปลกใหม่ในแบบที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนในบทเพลงเดี่ยวเชลโลมาตรฐานคลาสสิกทั้งหลาย การรูดสายเอื้อนเสียง(Portamento)นั่นก็อย่างหนึ่ง แต่มันยังคงมีอีกบางตอนที่ให้สุ้มเสียงแปลกใหม่จนสุดจะพรรณนาด้วยคำพูดอย่างแท้จริง ช่วงบรรเลงเดี่ยวอวดฝีมือแบบที่เรียกว่า”คาเด็นซา” (Cadenza) นั้น มองดูไกลๆ คล้ายกับการใช้ฝ่ามือถูสายซอ สร้างเสียงคล้ายการร้องสะอื้น, ครวญคราง เสียงเบาในดนตรีของ ณรงค์ ไม่ใช่หมายถึงแค่ปริมาณเสียงน้อยๆ หากแต่มันสร้างมิติราวกับผู้บรรเลงเดี่ยวและวงออร์เคสตราถอยตัวออกไปไกลอยู่ชายทุ่ง แล้วส่งเสียงแว่วมาในอากาศ เป็นความพิเศษทางเสียงที่อยู่ในระดับขั้นศิลปะ (State of the Art) อย่างแท้จริง ตปาลินเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ของเชลโลคอนแชร์โตบทนี้ได้อย่างสวยงาม แม้ว่าตัวซอเชลโลของเธอยังมีอาการ “อั้น” อย่างรู้สึกได้ว่า พลังบางอย่างยังไม่ได้รับการตอบสนองแบบ100% แต่มาตรฐานการบรรเลงที่ผ่านไปครั้งนี้ ก็ยังเป็นบทพิสูจน์ว่าเธอเป็นนักเชลโลชั้นแนวหน้าของบ้านเราอย่างแท้จริง

แม้ว่าผลงานของ ณรงค์ชิ้นนี้จะเป็นงานดนตรีร่วมสมัยที่เราอาจเรียกได้ว่า “สมัยใหม่” เป็นการฟังครั้งแรกที่เราอาจจะยังจับโครงสร้างทางไวยกรณ์ (Form) ได้ไม่ชัดเจนทั้งหมด แต่เขายังสามารถสร้างเอกภาพทางดนตรีได้อย่างชัดเจนด้วยโมทิฟ (Motif) และแนวทำนองหลัก (Theme) ที่โดดเด่น เมื่อเนื้อหาหลักนี้ย้อนกลับมาให้ได้ยินในช่วงต่างๆ (บางตอนส่งไปให้บรรเลงโดยนักไวโอลินหัวหน้าวงบรรเลงอย่างยืดยาว ราวกับเป็นผู้บรรเลงเดี่ยวคนที่2) ซึ่งสะท้อนถึงหลักการ,กรอบความคิดที่ยังมีระบบระเบียบ บทเพลงที่ยังสามารถวิเคราะห์-อธิบายได้อย่างมีเหตุผล ด้วยการเล่าเรื่องราวภาษาดนตรีด้วยความหลากหลาย ศิลปินที่บรรลุวุฒิภาวะย่อมไม่ปล่อยให้ความเป็นมนุษย์ในด้านการแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกมานำทางจนเตลิดเปิดเปิง หากแต่จะมีสมองด้านตรรกะความคิดที่เป็นเหตุ-เป็นผล คอยกำกับให้การแสดงออกเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบเสมอ

นอกจากผลงานดนตรีของ ณรงค์ ปรางค์เจริญแล้ว บทเพลงเปิดรายการเพลงแรกคือ ระบำดอกกุหลาบ (The Rose Waltz) ผลงานการประพันธ์ของนักประพันธ์ดนตรีชาวไทยอีกผู้หนึ่งคือ พ.ท.ประทีป สุพรรณโรจน์ ก็เป็นผลงานที่ควรแก่การกล่าวถึงเป็นอย่างยิ่ง ถ้าใครได้เคยฟังผลงานพระนิพนธ์ดนตรีแนวไลท์คลาสสิก ที่มีกลิ่นอายและสำนวนดนตรีแบบไทยๆ ของทูลกระหม่อมบริพัตร(สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ) มาบ้าง อาทิ มาร์ชบริพัตร,มณฑาทองโปลกา,วอลทซ์เมฆขลา,วอลทซ์ประชุมพล....ฯลฯ คงต้องอดชื่นชมไม่ได้ว่า พ.ท.ประทีปได้ประพันธ์บทเพลงระบำดอกกุหลาบในลีลาและสำนวนดนตรีแบบไทยๆ ได้ตามรอยแนวทางเดียวกับทูลกระหม่อมบริพัตรอย่างน่าชื่นชม

พ.ท.ประทีปใช้สำนวนดนตรีแบบไทยในแนวทำนองหลัก (Main Theme) ได้อย่างมีกลิ่นอายอันน่าชื่นใจ ที่อยู่ในระดับพอเหมาะ, พอควรและพอดี ไม่มากล้นถึงกับจะให้ผู้รู้ทางดนตรีหรือใครๆ จะมานินทาเอาได้ว่าฟังดู “เป็นไทยจ๋า”แต่อย่างใด แนวทำนองรองที่มีเสียงคอร์ดแปร่งๆ เล็กน้อยแบบดนตรีร่วมสมัย การเลือกใช้บุคลิกภาพทางดนตรีของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ในวงออร์เคสตรา แสดงออกด้วยลีลาอันคมชัด โดดเด่นในแต่ละหมวดหมู่ สิ่งต่างๆที่แสดงออกทางดนตรีเหล่านี้ ทำให้เห็นว่าผลงานดนตรีของพ.ท.ประทีปได้ก้าวไปไกลทางดนตรีจนเกินระดับไลท์คลาสสิกแบบงานตระกูลเวียนนาวอลทซ์ ของ นักประพันธ์ดนตรีตระกูลชเตราส์ (Strauss Dynasty) ที่เราคุ้นเคยกัน บทเพลงนี้เข้าใกล้ระดับ “Serious Classic” แบบดนตรีซิมโฟนีอย่างแท้จริง

อัลฟอนโซ สการาโน ผู้อำนวยเพลงในรายการนี้เลือกบทเพลงคลาสสิกสายพันธุ์รัสเซียถึง 3 บทมาบรรเลงในครั้งนี้ คือ Festive Overture ของ ดมิทริ ชอสตาโควิช (Dmitri Shostakovich), Russian Easter Festival Overture ของ นิโคไล ริมสกีคอร์ซาคอฟ (Nicolai Rimsky-Korsakov) และซิมโฟนีหมายเลข 2 ของ อเล็กซานเดอร์ โบโรดิน (Alexander Borodin) และถ้าจะกล่าวกันว่าวาทยกรที่ดีต้องสามารถสร้างความแตกต่างในการบรรเลงได้อย่างมีนัยสำคัญแล้ว สการาโนคงต้องได้รับการจัดอยู่ในระดับชั้นนั้นด้วยอย่างแน่นอน เพราะทุกๆ ครั้งที่เราได้ชมเขาควบคุมวงทีพีโอเมื่อใด เราจะสัมผัสได้ถึงระบบระเบียบและความพร้อมเพรียงที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในบางด้านของรสนิยมทางดนตรี เราอาจให้ความสำคัญกับการตีความดนตรีในภาพรวมอย่างสร้างสรรค์ ที่เหนือชั้นไปจากระดับขั้นแค่ความพร้อมเพรียงในการบรรเลง แต่ในอีกด้านหนึ่งของรสนิยมทางดนตรีแล้ว เราคงต้องยอมรับว่า ถ้าวงออร์เคสตราทั้งวงสามารถแสดงออกทางเทคนิคได้อย่างใสสะอาด,พร้อมเพรียงชัดเจนบรรเลงได้อย่างละเอียดแม่นยำ....ฯลฯ หากทำได้เช่นนี้แล้ว ความงดงามทางดนตรีก็ “มักจะ”เผยตัวของมันเองออกมาให้เราได้ชื่นชมโดยอัตโนมัติ ซึ่งสการาโนก็คือวาทยกรในกลุ่มหลังนี้เอง

หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับการตีความของเขาในหลายจุด อาทิ บทเพลง Festive Overture ของ ดมิทริ ชอสตาโควิช ที่เร็วมากจนอาจเรียกได้ว่า “เร็วจี๋” (แต่ก็นั่นแหละ เพราะจังหวะเร็วในดนตรีคลาสสิกสำนักรัสเซียจะมีลักษณะที่เร็วกว่าดนตรีคลาสสิกในยุโรปหรืออเมริกาเสมอๆ) ,การใช้วิธีเปล่งเสียงทางดนตรี (Articulation) ในซิมโฟนีหมายเลข 2 ของโบโรดิน ในการเปิดท่อนแรกที่ฟังดูยาวกว่าปกติในแบบที่เราเคยฟังกันมา ,ลักษณะดนตรีสแกร์โซ (Scherzo) ในท่อน 2 ที่เต็มไปด้วยระเบียบวินัยสูง จนขาดลักษณะอารมณ์ขันหรือความมีชีวิตชีวาแบบดนตรีสแกร์โซไปบ้าง.....ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นรสนิยมทางดนตรีที่เราอาจถกเถียงกันได้เป็นธรรมดา หากแต่ระบบระเบียบและวินัยในการบรรเลงที่เขาควบคุมได้อย่างหมดจดนั้น เป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดเจนอย่างแทบจะไม่ต้องมาถกเถียงกันอีกเลย

ถ้าเราจะยังคงใช้แนวคิดแบ่งวาทยกร (ชั้นดี) ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มแรกที่เน้นแรงบันดาลใจ(ส่วนตัว),ความคิดสร้างสรรค์-ความมีชีวิตชีวา สร้างวิธีการบรรเลงบทเพลงเดิมๆ ได้อย่างแปลกใหม่ ซึ่งเราเรียกวาทยกรในแนวทางนี้ว่าเป็น “พวกอัตวิสัย” (Subjective) และวาทยกรกลุ่มที่สองที่เน้นระบบระเบียบ,ความพร้อมเพรียงใสสะอาดถูกต้องแม่นยำเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้เราหวนรำลึกไปถึง หัวแถวเจ้าสำนักนี้อย่าง อาร์ทูโร ทอสคานินี (Arturo Toscanini) ที่เราเรียกแนวทางของกลุ่มนี้ว่าเป็น “พวกภววิสัย” (Objective) แล้ว อัลฟอนโซ สการาโน ย่อมจะต้องถูกจัดอยู่ในแนวทางนี้อย่างแน่นอน

แนวทางของวาทยกร(ชั้นดี)ทั้ง 2 แบบ ดูจะเป็นสิ่งที่แยกแยะได้ยากในโลกดนตรียุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในวงการซิมโฟนีออร์เคสตราระดับโลกทั้งในยุโรปและอเมริกา ยุคสมัยที่มีนักดนตรีฝีมือดีๆ ซึ่งจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาดนตรีชั้นยอด หลั่งไหลมาคัดเลือกตัวชิงที่นั่งในวงอย่างมากมายล้นเหลือ วงซิมโฟนีออร์เคสตรายุคปัจจุบัน จึงกลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่อันทรงประสิทธิภาพที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุ-กลไกชั้นเยี่ยมในทุกชิ้นส่วนรายละเอียด วาทยกรจึงแทบจะไม่ต้องเหนื่อยแรงในการปรับระเบียบวินัย,เทคนิคอย่างเคี่ยวกรำ เสมือนในอดีต พวกเขาเพียงแค่บอกความต้องการทางดนตรีอะไรออกไป เครื่องดนตรีชั้นเยี่ยมอย่างวงออร์เคสตรายุคใหม่ก็พร้อมที่จะตอบสนองได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่ก็อีกนั่นแหละ ศิลปะมิใช่เป็นเรื่องเพียงแค่การใช้องค์ประกอบชั้นยอดในการแสดงออกแต่เพียงอย่างเดียว ยังคงมีเรื่องราวของ "พื้นที่ว่าง" (Space) ที่มีบทบาทอันสำคัญอย่างไม่แพ้กัน (หรืออาจเหนือกว่าในบางครั้ง) นั่นก็คือเรื่องแรงบันดาลใจ, จิตวิญญาณและอารมณ์ความรู้สึก วาทยกรทั้ง 2 รูปแบบที่กล่าวไปแล้วนั้น ต่างก็มีข้อดี-ข้อด้อยในทางศิลปะในตัวเองอย่างเป็นธรรมดา เสมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน วงออร์เคสตราจึงมักใช้นโยบาย “วาทยกรรับเชิญ”เพื่อความหลากหลายและหลากรสในการแสดงดนตรี

แต่สำหรับเมืองไทยเราที่คงจะต้องยอมรับกันอย่างตรงไป-ตรงมาว่า ความสามารถเฉพาะตัวของนักดนตรีบ้านเราซึ่งยังไม่สูงเทียบเท่ามาตรฐานโลกแล้ว วาทยกรที่เน้นระเบียบ,เทคนิคและวินัยอันพร้อมเพรียง(กึ่งโค้ชผู้ฝึกสอน)ในสกุล Objective แบบ อัลฟอนโซ สการาโน นี่แหละที่ยังมีความจำเป็นอยู่มากในการก่อร่างสร้างตัวและสั่งสมศักยภาพอันมั่นคงให้กับวงออร์เคสตราในระยะยาว

..............................................................

เกี่ยวกับผู้เขียน : บวรพงศ์ ศุภโสภณ มีบทความทางด้านการวิจารณ์ดนตรีเป็นจำนวนมาก เขาเป็นอาจารย์พิเศษวิชา "การวิจารณ์ดนตรี" ณ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล และเป็นผู้ดำเนินรายการ 'สนทนาภาษาดนตรี' ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 อสมท. ทุกคืนวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00-24.00 น.

หมายเหตุ : บทวิจารณ์นี้มีชื่อเต็มว่าเชลโลคอนแชร์โตบทใหม่ของ'ณรงค์ ปรางค์เจริญ'

นิยามแห่งเสียงดนตรีที่เปลี่ยนไป