ปี 2025 โลกมีเศรษฐีพันล้าน(ดอลลาร์) มากสุดเท่าที่เคยมีมา

ปีนี้กลายเป็นปีที่โลกมีมหาเศรษฐีพันล้านมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตัวเลขพุ่งแตะ 2,919 คน จากแรงหนุนของหุ้นและมูลค่าบริษัทเทคโนโลยีที่พุ่งสูง แม้เศรษฐกิจโลกยังผันผวน จำนวนเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 สร้างตัวเองก็เยอะ รับมรดกก็เพียบ
ปี 2025 เป็นปีที่มีมหาเศรษฐีระดับ "พันล้านดอลลาร์" (Billionaire) หรือมีทรัพย์สินมากกว่า 31,860 ล้านบาทขึ้นไป เป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมีการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 โดยมีสองปัจจัยหลักๆ ที่ช่วยสนับสนุนคือ "บริษัทเทคโนโลยี" และ "ตลาดหุ้น"
รายงานความมั่งคั่งโลกของ UBS พบว่า ปี 2025 มีจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดครั้งใหม่ โดยเพิ่มขึ้นแตะ 2,919 คน ถือครองทรัพย์สินรวมกัน 15.8 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 503 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 2,682 คนที่มีทรัพย์สินเกือบ 14 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการประเมินมูลค่าบริษัทเทคโนโลยีที่สูงขึ้นและราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น
จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านหน้าใหม่ปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 287 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่ UBS เริ่มติดตามข้อมูลนี้ในปี 2015 โดยเป็นรองเพียงแค่ปี 2021 เท่านั้น ซึ่งในครั้งนั้นเป็นปีที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐและอัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งช่วยดันราคาสินทรัพย์ให้สูงขึ้น
“คุณกำลังเห็นการเร่งตัวในการเติบโตของกลุ่มมหาเศรษฐี และที่จริงแล้วมันเกิดขึ้นจากทุกทิศทาง” จอห์น แมทธิวส์ หัวหน้าฝ่ายบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคลของ UBS ในสหรัฐกล่าว โดยอ้างถึงการเกิดขึ้นของมหาเศรษฐีใหม่ทั้งจากการเป็นผู้ประกอบการเองและการรับมรดก
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่งคั่งคือ "กำไรจากการลงทุน" ในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดวันที่ 4 เม.ย. 2025 ซึ่งเป็นช่วงเวลาครอบคลุมรายงานฉบับนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นหลังการประกาศมาตรการภาษีในวันปลดแอกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันผลตอบแทนในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าตลาดจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นก็ตาม
มหาเศรษฐีพันล้านหน้าใหม่มีใครบ้าง
กลุ่มมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่มาจากการ "สร้างตัวเอง" (Self-made) ในฐานะผู้ประกอบการมีจำนวน 196 คนในปีนี้ มีความมั่งคั่งรวม 3.865 แสนล้านดอลลาร์ ได้แก่ ผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรม เช่น "เบน แลมม์" ผู้ก่อตั้ง Colossal Biosciences, "ไมเคิล ดอร์เรลล์" ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Stonepeak Partners, "สองพี่น้องตระกูลจาง" แห่ง Mixue Ice Cream and Tea ในจีน และ "จัสติน ซัน" มหาเศรษฐีสายคริปโทเคอร์เรนซี
ส่วนกลุ่มที่ได้รับ "มรดกตกทอด" ก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน โดยมีมากถึง 91 คน มีทรัพย์สินรวมกัน 2.98 แสนล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ 15 คนมาจากสองตระกูลบริษัทยารายใหญ่ในประเทศเยอรมนี
หนึ่งในกรณีการรับมรดกล็อตใหญ่ก็คือ "โกะ เฉิง เหลียง" มหาเศรษฐีธุรกิจสีทาอาคารในเอเชียแห่ง Wuthelam Holdings ในสิงคโปร์ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมาด้วยวัย 98 ปี เขายกหุ้นในบริษัทให้หลาน 6 คน มูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ต่อคน
“เราพูดถึงการถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่กันมากว่าสิบปีแล้ว และตอนนี้คุณเริ่มเห็นมันเกิดขึ้นจริง” แมทธิวส์กล่าว
“ผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในอินนิงที่สองของเกมเบสบอลเก้าอินนิง” และในหลายกรณีความมั่งคั่งจะถูกถ่ายโอนให้คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ก่อน ซึ่งมักเป็นภรรยา ก่อนจะส่งต่อไปสู่คนรุ่นถัดไป
สหรัฐ-จีน ครองความมั่งคั่งโลก
ส่วนในรายงานล่าสุดจากบริษัทข้อมูลด้านความมั่งคั่ง Altrata พบว่าจำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในปีนี้เช่นกัน โดยคาดว่ามีบุคคลระดับมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ 3,508 คน ถือครองความมั่งคั่งรวม 13.4 ล้านล้านดอลลาร์ และประมาณ "หนึ่งในสามอยู่ในสหรัฐ" ขณะที่ "จีน" มีจำนวนมหาเศรษฐี 321 คน ถือครองความมั่งคั่งราว 10% ของโลก
สำหรับรายงานของ UBS ใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ UBS และ PricewaterhouseCoopers ร่วมกันจัดทำ ซึ่งติดตามความมั่งคั่งของกลุ่มมหาเศรษฐีทั่วโลก
UBS ยังสัมภาษณ์ลูกค้ากลุ่มมหาเศรษฐีจำนวน 87 รายสำหรับรายงาน Billionaire Ambitions ประจำปีครั้งที่ 11 และพบว่าความน่าสนใจของอเมริกาเหนือในฐานะพื้นที่ลงทุนระยะสั้น ลดลงสู่ระดับ 63% จาก 81% ในปีก่อน ขณะที่ความสนใจลงทุนในภูมิภาคยุโรปตะวันตก จีนแผ่นดินใหญ่ และเอเชียแปซิฟิกไม่รวมจีนแผ่นดินใหญ่ กลับเพิ่มขึ้นแทน
สำหรับมหาเศรษฐีในเอเชียนั้น ความกังวลสำคัญที่สุดในปีหน้า 2026 ได้แก่มาตรการภาษีและภาษีนำเข้า ขณะที่มหาเศรษฐีในสหรัฐส่วนใหญ่กังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือภูมิรัฐศาสตร์
ที่มา: WSJ, The Guardian







