ไปเยี่ยมรัง...เสือกุย

ผมหยิบหนังสือ 'เก็บแต้มเสบียงบุญ' หนังสือเกี่ยวกับการไหว้พระดี วัดเด่นในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานประจวบคีรีขันธ์เขาทำแจกเพื่อเป็นคู่มือในการไหว้พระในจังหวัดนี้ (สนใจลองสอบถาม ททท.ประจวบคีรีขันธ์ โทร.032- 513-885) ก็ไปชมชอบเนื้อหาบรรยากาศของชุมชนเล็กๆ ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟของแต่ละอำเภอของประจวบคีรีขันธ์ ที่ยังเห็นร่องรอยของความเจริญที่รายล้อมสถานีรถไฟ ซึ่งแต่ก่อนความเจริญมาพร้อมกับรถไฟ
เมื่อตัดทางรถไฟสายใต้ในปี พ.ศ. 2452 จากบางกอกน้อยถึงเพชรบุรี แล้วอีก 3 ปี สร้างต่อจากเพชรบุรีไปชุมพร นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนรายรอบสถานีรถไฟในย่านประจวบฯ บรรดาร้านรวง ตึกแถวไม้แบบโบราณ ร้านกาแฟบรรยากาศดั้งเดิมยังปรากฏให้เห็นจนบัดนี้ แต่ครั้งพอถนนเพชรเกษม ถูกตัดให้ขนานไปกับทางรถไฟ ในปี พ.ศ.2493 นั่นจึงนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชุมชน ที่ถ่ายเทมาใกล้กับ “ถนนดำ” มากขึ้น ชุมชนสถานีรถไฟเดิมนั้น แม้ไม่ถึงกับร้าง แต่ก็เงียบลงไปถนัดใจ จากที่เคยคึกคักก็กลายเป็นชุมชนสงบๆ น่าเข้าไปย้อนยุคดูบรรยากาศเก่าๆ พอให้ครึ้มใจ (ยกเว้นหัวหินที่ยังคงคึกคักเช่นเดิม) บรรยากาศแบบนี้ บรรดากองถ่ายหนังย้อนยุคถึงได้ชอบนักหนา
ชื่อเมืองกุยบุรี ปรากฏขึ้นครั้งแรกในแผนที่เดินเรือของชาวอาหรับ เรียกเมืองนี้ว่า kui หรือ kuwi (รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) (พ.ศ.1967-1991) แต่มาปรากฏชัดว่ามีตัวตนให้สืบค้นได้จริงๆ ก็ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่พระราชพงศาวดารได้มีบันทึกไว้ว่า “ณ วันอังคาร ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ อัฐศก กรมการเมืองกุยบุรี บอกเข้ามาว่า พระยาศรีไสยณรงค์ ซึ่งให้ไปรั้งเมืองตะนาวศรีเป็นกบฎ” แสดงให้เห็นว่าในสมัยสมเด็จพระนเรศวร จนหลังสมัยสมเด็จเจ้าสามพระยาที่ชื่อเมืองกุยบุรีปรากฏถึง 140 ปี กุยบุรีเป็นเมืองแล้วจริงๆ และจากพระราชพงศาวดาร ตำแหน่ง “กรมการเมือง” ที่ระบุนั้น ถ้าเมืองตะนาวศรี เจ้าผู้ครองนครเป็น “พระยา” กุยบุรีเป็นกรมการเมือง ก็พออนุมานได้ว่า เมืองกุยบุรีเป็นเพียงเมืองหน้าด่าน ที่เป็นประตูด่านแรกที่จะสกัดทัพข้าศึก
ถ้าเมืองหลวงตอนนั้นอยู่ที่อยุธยา เมืองกุยบุรีจึงน่าจะเป็นทำเลเมืองหน้าด่านแรกๆ ที่รับศึกพม่า ยิ่งในสมัยอยุธยา ไทยทำศึกกับพม่าบ่อยครั้ง พม่าจากด้านใต้ก็มักยกทัพข้ามด่านสิงขร ซึ่งเป็นช่องทางไปมาหาสู่ของผู้คนสมัยอดีตมานาน ข้าศึกยกทัพขึ้นเหนือมาจนถึงแม่น้ำกุยบุรี จะมีบริเวณที่น้ำตื้นพอจะเดินข้ามได้ไม่ยาก เรียกว่า แก่งท่าข้าม เมื่อข้ามมาจึงจะเจอกับกำแพงเมืองกุยบุรี และตรงแก่งท่าข้ามนี่เองที่มักจะมีการซุ่มโจมตีแบบกองโจรต้านข้าศึกจนเป็นที่เลื่องลือไปตามเมืองต่าง ๆ ว่าชาวกุยบุรีนี้กล้าหาญนัก จึงให้สมญานามชาวกุยบุรีว่า “เสือกุย” เพราะเมืองกุยเป็นเมืองหน้าด่านคอยสกัดทัพ คนกุย ก็เลยเป็นชาตินักรบโดยสายเลือด เรียกว่าเด็กกุยพอวิ่งเล่นได้ก็หัดจับดาบจับอาวุธไว้ค่อยต่อตีกับข้าศึก ยุคสมัยนี้คนอาจเคยได้ยินสมญานามเสือกุย แต่อาจไม่รู้ความหมาย แต่ถ้าสังเกตจะเห็นตามวัด ตามสถานที่ราชการสำคัญ ยังคงปั้นรูปเสือไว้ เพื่อเป็นการเตือนใจว่า คนกุยบุรีนั้นมีสมญานามว่า “เสือกุย”
สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเจ้าบรมโกศ) ได้กล่าวถึงเมืองกุยบุรีไว้ว่า ลุศักราช 1109 ปีเถาะ (พ.ศ.2290) พระกุยบุรีออกหนังสือเข้ามาว่า พืชทองคำบังเกิดขึ้นที่ตำบลบางสะพาน แขวงเมืองกุยบุรีได้ส่งทองคำหนัก 3 ตำลึง เข้าทูลเกล้าฯถวายเป็นทองคำขาว ซึ่งถ้าบางสะพานยังขึ้นกับเมืองกุยบุรี ก็แสดงว่ากุยบุรีในอดีดคงจะมีพื้นที่กว้างขวาง ทั้งพงศาวดารยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้โปรดตั้งพระกุยบุรีให้เป็นพระยาวิเศษสมบัติ แสดงให้เห็นว่าเจ้าเมืองกุยบุรีใหญ่ขึ้นจนมีเจ้าเมืองเป็นตำแหน่ง “พระ” และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองของการผลิตทองคำมาตั้งแต่ครั้งนั้น (ก่อนจะเสียกรุงครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2310) แม้ในปัจจุบันทองบางสะพานก็ยังขึ้นชื่อ และยังคงมีการร่อนทองหาทองอยู่จนทุกวันนี้ ใครสนใจอยากจะลองหาทอง ร่อนทอง ก็คงต้องไปไกลถึงบางสะพานโน่น (อยากจะเห็นทองที่ปนในเนื้อดินของเมืองบางสะพาน ติดต่อไปที่ ลุงเล็ก 08 3311-7303, 08 0691-4338)
ใครผ่านไปผ่านมา อย่าลืมแวะเข้าไปไหว้หลวงพ่อในกุฏิ ที่วัดกุยบุรีครับ วัดนี้น่าจะเป็นวัดคู่มากับเมืองหน้าด่านกุยบุรีมาก่อน หลวงพ่อในกุฏินั้นเป็นรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อบุญมาก เจ้าอาวาสในอดีต ท่านเป็นพระที่ธุดงค์มาจากทางใต้ เป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติดี แตกฉานในเรื่องสมุนไพรการรักษาโรค อาคมกล้า และวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งเป็นผู้มีเมตตาจิตอย่างสูง ชาวบ้านลือว่าท่านเป็นผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถูกนิมนต์ให้มาจำพรรษาที่วัด ท่านก็มักเข้าวิปัสสนากรรมฐานในกุฏิเป็นเวลาติดต่อกันหลายวันโดยไม่ออกมาจากกุฏิ ผู้คนจึงรียกท่านว่า หลวงพ่อในกุฏิ ชาวเมืองกุยบุรีและใกล้เคียงขณะนั้นเคารพเลื่อมใสในบุญบารมีเป็นอันมาก เมื่อมีทุกข์ร้อนก็จะมาบนบาน เมื่อสมปรารถนาแล้วก็จะมาปิดทองที่ตัวท่านขณะยังมีชีวิตอยู่ซึ่งเป็นการแสดงความศรัทธาอย่างสูง
หลังจากหลวงพ่อในกุฏิได้มรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างรูปเหมือนของท่าน และบรรจุอัฐิท่านไว้ภายใน เพื่อให้ชาวบ้านได้ระลึกถึงและกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ทุกวันนี้ บุญบารมีของท่านก็ยังแผ่มาถึงผู้คนที่กราบไหว้สักการะ และที่เหนืออื่นใดผู้คนจะสมหวังได้ดั่งใจก็ต้องประพฤติปฏิบัติคนให้อยู่ในศีลธรรมด้วย หาใช่เพียงไหว้พระแต่ทว่าละศีล
ข้างๆ วัดกุยบุรี หรือหลวงพ่อในกุฏินั้น ชาวเมืองกุยบุรีเขาสร้างป้อมยันทัพจำลองขึ้นมา รวมทั้งศาลนักรบไว้ให้รำลึกถึงเกียรติประวัติของคนกุยบุรีด้วย แล้วผู้อ่านลองเดินไปด้านหลังวัด ท่านจะเห็นคลองกุยบุรีที่เคยเป็นอุปสรรคกั้นทัพข้าศึก เดี๋ยวนี้คลองกุยบุรีที่เคยกว้างใหญ่ในอดีต แคบลงอย่างมาก แต่น้ำที่มาจากน้ำตกห้วยมะไฟในป่ากุยบุรีก็ไม่เคยทำให้คลองนี้แห้งแม้แต่น้อย ทั้งยังมีกิจกรรมนั่งเรือล่องคลองกุยบุรีดูวิถีชีวิตอีกด้วย
ไปถึงกุยบุรี อย่าลืมเข้าไปดูสัตว์ป่าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี แม้กระทิงจะติดเชื้อโรคระบาดจนตายยกฝูง แต่กระทิงฝูงอื่นๆ ช้าง หมาไน วัวแดง หมูป่า นกเงือก กระทั่งเสือ ก็ยังออกมาให้เห็นแทบทุกเย็น สมกับเป็นซาฟารีเมืองไทย แล้วลองขับรถข้ามทางรถไฟ แล่นเลียบทะเลลงไปทางใต้ดูครับ จะเห็นว่า ทะเลแบบบ้านๆ ยังพบได้ย่านประจวบฯ
ผมว่ามาจนถึงวันนี้จิตวิญญาณของเสือกุย ไม่ว่าคนที่ไหนก็ควรเอาเยี่ยงอย่าง รักชาติให้มาก ไม่ทำให้ชาติวุ่นวายหรอกครับ รักชาติน้อยลงและเห็นแก่ตัวมากขึ้นต่างหากที่ชาติจะวุ่นวาย







