คนญี่ปุน-ดนตรี-กีฬา-ศาสนา:ภาพสะท้อนจากโตเกียวฟิลฮาร์โมนิก

สนามวิจารณ์เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับการแสดงความคิดเห็นด้านสังคม ไลฟ์สไตล์ ศิลปวัฒนธรรม บันเทิง ส่งบทความมาได้ที่ [email protected]
มีเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ ในหมู่ผู้ฟังที่อาจจัดได้ว่าเป็น “กลุ่มผู้รู้”แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย หลังจากการแสดงคอนเสิร์ตของวงโตเกียว ฟิลฮาร์โมนิก ออร์เคสตรา (Tokyo Philharmonic Orchestra) จบสิ้นลงในวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2557 ณ หอแสดงดนตรีมหิดลสิทธาคาร(Prince Mahidol Hall)
ฝ่ายแรกชื่นชมและยกย่องในมาตรฐานการบรรเลง ว่าอยู่ในขั้นสูงเทียบเท่าวงซิมโฟนีออร์เคสตราในระดับนานาชาติทั้งหลาย และอีกฝ่ายหนึ่งยังคงกล่าวถึงข้อตำหนิปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ จากการบรรเลง มากกว่าที่จะพูดถึงข้อดีในการแสดง
ความจริงเรื่องความเห็นวิพากษ์-วิจารณ์ทางดนตรีนี้ก็อาจมีอะไรคล้ายๆ กับเรื่องทางการเมืองอยู่บ้าง ที่ในบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง “ความเป็นกลาง” (เพราะคนกลางก็อาจเสมือน “ตาอยู่”ในนิทานตาอินกะตานามากกว่า) ผมเองไม่ได้เป็นกลางกับการบรรเลงของวงโตเกียว ฟิลฮาร์โมนิก หากแต่ผมรู้สึกชื่นชมและยกย่องการบรรเลงในครั้งนี้มาก และมาตรฐานความสำเร็จของคนญี่ปุ่นกับดนตรีคลาสสิก ก็น่าจะเป็นแบบอย่าง ให้เราได้ศึกษาหาทางสร้างความสำเร็จให้กับวงการดนตรีคลาสสิกในบ้านเราบ้าง และเรื่องนี้ก็อาจโยงไปไกลกว่านี้ก็ได้บ้างว่า ทำไมฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น เข้าถึงรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้แล้ว ประชาชนชาวไทยที่อยู่ในฐานะคนรักศิลปะดนตรีหรือคนรักกีฬา,คนเชียร์กีฬา พวกเรามีความหวังอะไรกับวงการของแบบนี้ในบ้านเราได้บ้าง?
วงโตเกียว ฟิลฮาร์โมนิก ได้เปรียบมากทีเดียวที่ได้มีโอกาสมาบรรเลงใน หอมหิดลสิทธาคารแห่งนี้ หอแสดงดนตรีที่มีคุณภาพของระบบเสียง (Acoustic) ที่จัดได้ว่าดีเยี่ยม เพียงแค่การออกตัวบรรเลงบทเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็แสดงถึงความเก๋าประสบการณ์ของวงดนตรีนี้ได้ดี กล่าวคือ ความเป็นเลิศของนักดนตรีทั้งวง ในการปรับตัว,ปรับการบรรเลงให้เข้ากับสภาพการสะท้อนเสียงของหอแสดงดนตรี
สังเกตได้ว่าเสียงดนตรีมีความดัง-ค่อย (Dynamic) ที่เหมาะสมกับสภาพภายในอาคารราวกับเป็น “เสียงที่สั่งทำโดยเฉพาะ”(Made to Order) เพื่อหอแสดงดนตรีแห่งนี้ ความกลมกลืนในน้ำเสียงนั้นโดดเด่นน่าทึ่ง เสียงแตรทรัมเป็ต (Trumpet) ที่บรรเลงในลักษณะประโคมที่สอดแทรกในเพลงนั้น ดังลั่น แบบไม่กลัวใคร,ไม่รอใคร แต่ในขณะเดียวกันกลับรักษาสภาพเนื้อเสียงเดียวกันได้อย่างน่าแปลกใจ เออิจิ โออุเอะ (Eiji Oue) วาทยกรออกท่าทางกำกับการบรรเลงด้วยภาษากายแบบสุดโต่งกางแขน,กางขา(หรือแม้แต่กระโดดโลดเต้น)ตลอดรายการแสดง แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นใดๆที่เราจะไปตำหนิติติงได้ เพราะเสียงดนตรีภายใต้การอำนวยเพลงของเขานั้น ทั้งประณีตงดงามและตอบสนองทุกเฉดอารมณ์ดนตรีได้ชัดเจนอยู่แล้ว
บทเพลงในลักษณะดนตรีประกอบบัลเลต์ (Ballet) ที่ชื่อว่า บูกาคุ (Bugaku) ซึ่งเป็นเพลงอันดับแรกของรายการ ประพันธ์ในปีพ.ศ.2505 โดยดุริยะกวีชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ โตชิโร มายูซูมิ (Toshiro Mayuzumi) แสดงถึงความก้าวหน้าในด้านการประพันธ์ดนตรีของญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะเขียนขึ้นมาเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังฟังดูว่าเป็นเสียงแห่งความร่วมสมัยแม้จะฟังกันในครั้งนี้ ด้วยแนวคิดของเพลงที่มุ่งจะบรรยายภาพและถ่ายทอดเสียงวงดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่นที่ใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำพื้นถิ่น อย่างหนึ่งที่เรียกว่า บูกาคุ เริ่มต้นด้วยเสียงหลอนๆ ราวกับปีศาจด้วยการบรรเลงแบบรูดสายขึ้น-ลง(Portamento) ในกลุ่มเครื่องสายเพียงไม่กี่ชิ้น แล้วเสียงเหล่านั้นจึงค่อยๆทบทวีคูณมากขึ้นๆ ตามลำดับจนเต็มวง แม้ดนตรีจะปรับเข้าสู่จังหวะเต้นรำพื้นบ้านแล้ว แต่มายูซูมิยังคงใช้เสียงประสานแบบไม่กลมกลืน(Dissonant)ในกลุ่มเครื่องเป่าได้อย่างไม่ขัดเขินทีเดียว
เกียวโกะ ทาเกซาวา (Kyoko Takezawa) ศิลปินเดี่ยวไวโอลินหญิงที่มาร่วมบรรเลงเดี่ยวในบทเพลง ไวโอลินคอนแชร์โต ของ ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky) ถือเป็นประเด็นที่น่าจับตามองว่าตัวเธอและวงโตเกียวฟิลฮาร์โมนิก จะสามารถก้าวพ้นจาก “ความเป็นชาติ”เข้าสู่ระดับ “ความเป็นสากล”ได้หรือไม่ เพราะนักดนตรีจากโลกตะวันออกแบบ เกาหลี,จีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะนักดนตรีในหมวดเครื่องสาย มักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่าขาด “ชีพจรทางดนตรี”บางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องวลี หรือ ประโยคในทางดนตรีที่มักขาดความเชื่อมโยงอย่างลึกๆ ซึ่งผู้ฟังสามารถรู้สึกได้แต่กลับยากต่อการบอกกล่าวแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นนี้ เกียวโกะ ทาเกซาวา บอกกับพวกเราผ่านการแสดงของเธอว่า เธอได้ก้าวพ้นข้ามผ่านความเป็นญี่ปุ่นเข้าสู่ระดับของศิลปะดนตรีสากลตะวันตกอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอน่าจัดอยู่ในระดับชั้นเดียวกับบรรดาศิลปินโลกตะวันออกชั้นแนวหน้าทั้งหลายอย่าง โยโย-มา (นักเชลโล), คุงวา ชุง (นักไวโอลินชาวเกาหลี) หรือวาทยกรรุ่นพี่เพื่อนร่วมชาติอย่าง เซอิจิ โอซาวา แล้ว การบรรเลงเลือกใช้จังหวะที่ฟังดูเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วๆ ไปของบทเพลงนี้ที่คุ้นชินกัน วิธีการบรรเลงของตัวเธอละโตเกียว ฟิลฮาร์โมนิก แสนจะนุ่มนวลและละเมียดละไม มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันประดุจการเล่นดนตรีกลุ่มเล็กๆ แบบเชมเบอร์มิวสิก (Chamber Music)
ประเด็นที่น่าสังเกตเรื่องหนึ่งในท่อนแรกนี้ ก็คือเรื่องของการเตรียมตัวตีความมาอย่างละเอียด,พีถีพิถัน นั่นก็คือในช่วงของการย้อนกลับ (Recapitulation) ของทำนองหลักนั้น เกียวโกะ ทาเกซาวา บรรเลงแนวทำนองหลักทั้งสองทำนองได้แตกต่างอย่างมากจากช่วงแรกของการนำเสนอในตอนต้น (Exposition) ความแตกต่างละเอียดอ่อนที่แม้แต่ศิลปินจากโลกตะวันตกเองก็อาจจะแสดงได้ไม่ชัดเจนเท่านี้ ยิ่งโดยเฉพาะกับแนวทำนองที่สอง (2nd Theme) นั้น เธอและวงดนตรีเบาลงจนถึงระดับ “กระซิบ”จนเราต้องเกร็งหน้าท้องและเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อกับเสียงกระซิบอันแสนจะละเมียดงดงามและล่องลอยในช่วงนั้น
ทันทีที่ดนตรีจบลงเพียงท่อนแรกก็พลันมีเสียงปรบมือจากผู้ชมดังขึ้นทันที ทั้งที่ปกติผู้ชมดนตรีที่ศาลายานี้ (ส่วนใหญ่ที่เป็นขาประจำ) ไม่เคยมีการปรบมือผิดที่ แต่ด้วยครั้งนี้เป็น “งานใหญ่” มีผู้ชมหลั่งไหลเข้ามาชมมากกว่าปกติจึงเกิดการผิดมารยาทในการปรบมือ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็กลับมีคำอธิบายที่ยากแก่การเข้าใจว่า “ในยุโรปเขาก็ทำแบบนี้กันแล้ว!” สำหรับผมเองยังเห็นว่า เรื่องนี้เป็นข้อกำหนด, เป็นมารยาทของผู้ฟังดนตรีที่เขาต้องเรียนรู้กันมานานและก็มีเหตุผล-ความจำเป็นที่กำกับอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว จึงสมควรที่จะได้รับการรื้อฟื้น,ปรับปรุงแก้ไข เพื่อสมาธิและการให้เกียรติแก่ศิลปินดนตรีอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเราไม่น่าจะปล่อยให้กลายเป็น “ความผิดอันเป็นสากล” (Universal Wrong) แบบทุกวันนี้
ในท่อนสุดท้ายนั้น เกียวโกะ ทาเกซาวา บรรเลงเดี่ยวในช่วง คาเด็นซา (Cadenza = ช่วงที่ศิลปินเดี่ยวบรรเลงอวดฝีมือและวงหยุดการบรรเลงคลอ) และช่วงทำนองแทรก (Episode) ได้ราวกับเป็นการบรรเลงแบบด้นสดๆ (Improvisation) โดดเด่นและแตกต่างอย่างมากจากการฟังบทเพลงนี้มาหลายๆ ครั้งทั้งจากแผ่นเสียงและการแสดงสด แต่ในจังหวะปกติของท่วงทำนองหลักนั้น ทั้งเร็วจี๋และละเอียดยิบ แม่นยำจนพ้นจากการฟังแบบเฝ้าจับผิดใดๆ และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คำโฆษณาก่อนการแสดงที่ว่า เธอใช้ไวโอลินสตาดิวาริอุส (Stradivarius) อายุ310ปี (ประดิษฐ์ในปีค.ศ.1704) เป็นคำโฆษณาที่สมค่าอย่างแท้จริง เพราะทั้งความงดงามในน้ำเสียงและเฉดสีสันทางเสียง (Tone Colour) ในความดัง-ค่อยต่างๆ นั้นสมชื่อ “สตราด”อย่างแท้จริง เธอคู่ควรกับไวโอลินคันนี้ และยังสามารถปลุกวิญญาณปีศาจที่สิงสถิตอยู่ในตัวไวโอลินให้ออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อผู้ชมได้อย่างมีชีวิตชีวาทีเดียว
น่าเสียดายอยู่บ้างที่วงโตเกียวฟิลฮาร์โมนิก ไม่ยอมเลือกบทเพลงซิมโฟนี (Symphony) ใหญ่ๆ สักบทหนึ่งมาปิดท้ายการแสดง แต่กลับเลือกผลงานในลักษณะบทเพลงชุดจากดนตรีประกอบบัลเลต์ (Ballet Suite) 2 ชุดที่มีความสัมพันธ์กันในแนวคิดของเนื้อเรื่อง ชุดแรกคือดนตรีประกอบบัลเลต์ เรื่อง โรเมโอและจูเลียต (Romeo and Juliet) ของ เซอร์เกย์ โพรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev) นักประพันธ์ดนตรีชาวรัสเซียแห่งศตวรรษที่ 20 และดนตรีเต้นรำ (Symphonis Dances) จากละครเพลงเรื่อง West Side Story ของเลโอนาร์ด เบอร์นสไตน์ (Leonard Bernstein) นักประพันธ์ดนตรีชาวอเมริกันแห่งศตวรรษที่ 20 เช่นเดียวกัน ซึ่งละครเพลงเรื่อง เวสต์ไซด์สตอรี นี้ ก็คือการตีความใหม่จากโรเมโอและจูเลียตดั้งเดิมนั่นเอง การไม่เลือกบรรเลงบทเพลงซิมโฟนีใหญ่ๆปิดท้ายรายการ อาจทำให้เราไม่ได้เห็นศักยภาพทางความคิดในเชิงดนตรีซิมโฟนี(Symphonic Idea)ที่ชัดเจนของวาทยกรและวงออร์เคสตราชั้นนำจากญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็จริงอยู่ แต่ทว่า วาทยกร เออิจิ โออุเอะ ก็สามารถอวดความเป็นลิศทางดนตรีหลายๆประการชดเชยในประเด็นนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีศิลปินดนตรีทีเดียว
บทเพลงจากบัลเลต์เรื่องโรเมโอและจูเลียต อวดความเป็นเลิศในความสามารถของนักดนตรีในทุกหมวดหมู่ กลุ่มไวโอลินที่บรรเลงเสียงสูงๆ ด้วยความแม่นยำในระดับเสียง (Intonation) ที่ฟังดูเท่าเทียมกันทุกๆคน สร้างเสียงสูงๆที่ฟังดูนิ่ง,เนี้ยบจนเรียกความสนใจ,สมาธิจากผู้ฟังให้จดจ่อในมนต์เสียงนั้นได้โดยอัตโนมัติ,กลุ่มเครื่องเป่าทองเหลือง (Brass Section) ที่องอาจยิ่งใหญ่และยังคงความงดงามในช่วงไคลแม็กซ์ (Climax) ไม่ว่าดนตรีจะบรรเลงอย่างยิ่งใหญ่เต็มอัตรา หรือช่วงบรรเลงเป็นกลุ่มย่อยๆหูเราจะสัมผัสได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในน้ำเสียงนั้นอยู่ทุกขณะ ซึ่งนี่เป็นหัวใจการบรรเลงดนตรีที่เรียกกันว่า Ensemble (อองซอมเบลอ= หมายถึง “ด้วยกัน”) ที่เป็นแก่น เป็นหัวใจสำคัญแห่งการบรรเลงดนตรีคลาสสิกตะวันตก ที่ศิลปินต้องใช้เวลาบ่มเพาะฝึกฝนยาวนานกว่าจะทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเช่นนี้
เราคงเคยได้ยินคำพูดอมตะของวาทยกรที่นักดนตรีฟังกันจนชินหูอยู่เป็นประจำในขณะฝึกซ้อมวง นั่นก็คือ “ทำไมพวกคุณไม่ฟังกันเองให้มากกว่านี้ล่ะ?” (Why don’t you listen to each other?) แต่สำหรับวาทยกรที่มาควบคุมวงดนตรีวงนี้ คงไม่ต้องกล่าวคำพูดซ้ำซากแบบนี้ให้เสียเวลาหรือเสียบรรยากาศใดๆเลย เสียงที่บรรเลงออกมาตลอดรายการบอกกับเราว่า พวกเขามีความพร้อมเพรียง-สามัคคีและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริงทางโสตประสาท
จากประวัติของ เออิจิ โออุเอะ วาทยกรบ่งบอกว่าเขามีความใกล้ชิดสนิทสนม และอาจกล่าวได้ว่าเป็นญาติทางดนตรี กับเลโอนาร์ด เบอร์นสไตน์ทีเดียว บทเพลงซิมโฟนิกแดนซ์ จากละครเพลง เวสต์ไซด์สตอรี ของเบอร์นสไตน์ที่บรรเลงปิดท้ายรายการนั้น เออิจิ อูเอะ ใช้ศิลปะการกำกับการบรรเลงราวกับทำการเข้าทรงวิญญาณของ เลโอนาร์ด เบอร์นสไตน์ บุพการีทางดนตรีผู้ล่วงลับที่เขามีความนับถืออย่างสูงอยู่ในหัวใจ มันคือการตอบคำถามด้วยการแสดงออกในการบรรเลงดนตรีว่า เหตุใดเขาจึงเลือกบทเพลงชุดนี้มาปิดท้ายการแสดง เออิจิ อูเอะ สืบทอดลมหายใจทางดนตรีมาจากเบอร์นสไตน์อย่างแท้จริง
การกำกับวงดนตรีของเขาในบทเพลงนี้มาจากการใช้ภาษากายทุกรูปแบบอย่างสุดเหวี่ยง ไม่ต้องเขินอายใดๆที่จะทำทุกอย่างเพื่อสื่อสารทางอารมณ์กับนักดนตรี ทั้งการเต้นรำกับวง,การทิ้งแขนทั้งสองลงข้างตัว แล้วโยกไหล่ซ้าย-ขวาอย่างสุดเหวี่ยง หรือแม้แต่การกระโดดจนตัวลอยจากแท่นยืน(Podium) หลายคนอาจจะรู้สึกขบขันกับภาษากายในการอำนวยเพลงแบบแปลกๆพิลึกพิลั่นนี้ แต่ถ้าใครได้ดูบันทึกการแสดงดนตรี การกำกับวงออร์เคสตราโดย เลโอนาร์ด เบอร์นสไตน์ในสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เราจะพบเห็นภาษากายที่สุดโต่งแบบนี้อยู่เสมอๆ (และเสียงดนตรีภายใต้การกำกับวงของเบอร์นสไตน์ในการแสดงสดๆ ก็มักมีอะไรที่ “ชวนประหลาดใจ”สำหรับผู้ชมอยู่เสมอๆเช่นเดียวกัน) อีกทั้งบทเพลงซิมโฟนิกแดนซ์ชุดนี้ก็มีความเป็นดนตรีที่หลากหลายกว่า แนวคิดซิมโฟนีทั่วๆไปอยู่แล้ว การปลุกพลังดนตรีจากวงออร์เคสตรา ก็คงต้องเรียกร้องอะไรๆที่มากกว่าการกำกับดนตรีซิมโฟนี และสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสังเกตซึ่งเขาไม่น่าจะจงใจก็คือ ภาษากายของ เออิจิ โออุเอะ ในการกำกับบทเพลงนี้มันช่างละม้ายคล้ายกับการกำกับวงของเบอร์นสไตน์ผู้ล่วงลับเหลือเกิน นี่เองเราจึงอาจเรียกได้ว่าเป็นการอำนวยเพลงแบบ “การเข้าทรงทางดนตรี”ก็ได้กระมัง
ความสำเร็จและมาตรฐานของวงโตเกียว ฟิลฮาร์โมนิก ที่นับได้ว่าอยู่ในขั้นสากลนี้ เกิดจากอะไร เป็นเรื่องน่าคิดดังที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า เรื่องนี้อาจโยงไปถึงความสำเร็จของฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นที่ไปถึงรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ความสำเร็จในเรื่องดนตรีและกีฬาไม่ใช่เรื่องของความพร้อมทางปัจจัยการเงินแต่เพียงเรื่องเดียว แต่มันน่าจะต้องมองให้เห็นภาพรวมไปในบริบทที่กว้างขวางที่มีพื้นฐานมาจากความเป็น “ประชาคมที่รักจริง-ทำจริง” มาตรฐานของวงออร์เคสตราที่อาจคล้ายกับทีมฟุตบอลที่เมื่อฝึกซ้อมอย่างเข้มแข็งจริงจังโดยตลอด จนถึงขั้นที่อาจเรียกได้ว่า “ติดลมบน”ไปแล้ว แม้บางครั้งอาจเกิดอาการฟอร์มตกบ้าง ก็จะไม่ผิดพลาดจนหลุดไปจากมาตรฐานนั้น
นี่คือความแตกต่างที่น่าจะนำมาเทียบกับวงออร์เคสตราชั้นนำในบ้านเราได้อย่างไม่ควรจะต้องมาโกรธเคืองกันว่า ถึงอย่างไรมาตรฐานของวงออร์เคสตราชั้นนำของบ้านเราในขณะนี้ก็ยังไปไม่ถึงขั้น ติดลมบน จน “นิ่ง” ได้แบบโตเกียวฟิลฮาร์โมนิก หรือวงออร์เคสตราระดับมาตรฐานสากลอื่นๆในวงการยุทธจักรนี้ และประเด็นในเรื่องอายุการก่อตั้งวงของโตเกียวฟิลฮาร์โมนิกที่ก่อตั้งมาครบ100ปีในปีนี้ก็คงไม่ใช่คำอธิบายประกอบเหตุผลความเป็นเลิศของเขาได้ เพราะว่าวงออร์เคสตราแห่งกรมศิลปากรของบ้านเราก็มีอายุครบ100ปีไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว อย่างเงียบๆ เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ผมเคยพูดเสนอความคิดเห็นกับเพื่อนๆหลายคนว่า ศิลปะดนตรี(โดยเฉพาะดนตรีที่ละเมียดอย่างดนตรีคลาสสิก) เป็นของสูง(มิได้แปลว่าเป็นมรดกเฉพาะของพวกชนชั้นสูง) ที่เมื่อเราได้สัมผัสเข้าถึงไปมากเข้าจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ควรได้รับการยกย่องให้สูงใกล้เคียงประดุจศาสนาทีเดียว(มงคลสูตรข้อที่ 8 ก็ระบุว่าศิลปะเป็นหนึ่งใน “มงคลชีวิต”จากมงคล 38 ประการ) แต่เพื่อนๆ บางคนก็ไม่เข้าใจคิดไปว่านี่เป็นการผลักดันให้ดนตรีคลาสสิกกลายเป็นมรดกของพวกสังคมชั้นสูงหรือพวกไฮโซไปเสียอีก ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น และยิ่งเมื่อนำศิลปะดนตรีมาเปรียบเทียบกับศาสนาก็คงจะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ถ้าเราให้ความสำคัญว่าศาสนาเป็น “ของสูง”แล้ว ก็มิได้หมายความว่า คนร่ำรวยหรือชนชั้นสูงหรือแม้แต่คนนุ่งขาว-ห่มขาวเท่านั้น ที่จะเข้าถึงศาสนาได้อย่างลึกซึ้งและเข้าถึงได้แท้จริงกว่าคนยากคนจนในชนบท
ในทางตรงกันข้าม คนยากคนจนในชนบทต่างหากที่มีแนวโน้มที่จะเข้าถึง “จิตแห่งศาสนา” ได้มากกว่าคนร่ำรวย ที่มักจะยังยึดติดกับวัตถุนิยมและลาภสักการะมากกว่า การให้ความสำคัญกับศิลปะดนตรีอย่างเป็นของสูง ด้วยความรู้สึกที่แท้จริง และปฏิบัติต่อศิลปะดนตรีอย่างทุ่มเทจริงจังนั่นแหละคือคำตอบสู่ความสำเร็จแบบที่คนญี่ปุ่น หรือคนชาติในเอเชียอื่นๆ เขาทำกันจนเห็นผลประจักษ์
ผมยังพยายามนึกหาคำตอบอยู่ว่ายังจะมีประเทศไหนในโลกนี้อีกไหม? ที่มีมุมมองต่อศิลปะดนตรีว่ามันเป็นสิ่งต่ำต้อยเพียงแค่เป็นเรื่องของ “พวกเต้นกิน-รำกิน”แบบที่พวกเราได้ยินได้ฟังคำกล่าวนี้กันมาหลายชั่วอายุคน
...........................................................
เกี่ยวกับผู้เขียน บวรพงศ์ ศุภโสภณ เป็นนักวิจารณ์ดนตรีแถวหน้าของประเทศ ปัจจุบัน จัดรายการ Music Talk ทางเอฟเอ็ม 100.5 อสมท. ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00-24.00 น.







