สิ่งประดิษฐ์ 'เปลี่ยน' โลก

สิ่งประดิษฐ์ 'เปลี่ยน' โลก

น้ำจิ้มเบาๆ ของนวัตกรรมที่เชื่อกันว่า จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมโลกแห่งอนาคตที่แม้แต่หนังไซไฟอาจยังจินตนาการไม่ถึงก็เป็นได้

จากตำราเรียนยุคเก่าที่เคยท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองถึงกำเนิดสิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลก ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์เครื่องแรกของโลก หลอดไฟดวงแรกของโลก หรือจะกระแสไฟฟ้าที่สร้างความเจริญให้กับโลกทั้งใบ มาถึงวันนี้ ดูเหมือนมนุษยชาติจะคลายความระลึกถึงนวัตกรรม(ที่เคย)ล้ำยุคเหล่านี้

แน่นอนว่า คนยุคร้อยปีที่แล้วคงยากจะจินตนาการถึงตู้เหล็กแข็งๆ ทื่อๆ ที่เมื่อป้อนข้อมูลเข้าไป เงิน จะไหลออกมาได้อย่างน่าประหลาดใจ และนั่นคือ "ตู้เอทีเอ็ม" ที่ใครๆ ก็มักแวะเวียนเข้าไปใช้บริการ แต่ถ้าในยามกระเป๋าแบน โลกก็ยังมี "บัตรเครดิต" เข้ามาตอบรับความต้องการใช้เงินในคราวจำเป็น จนเพาะให้เกิดเป็นนิสัย ใช้ก่อน ผ่อนทีหลัง ให้กับคนในยุคสมัยนี้

ลองจินตนาการแทนคนยุคเก่าที่ยังนั่งดื่มด่ำฟังเพลงด้วยแผ่นไวนีลเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว ว่าจะรู้ไหมหนอว่า วันนี้ เรามาไกลจนถึงการฟังและซื้อเพลง ที่มองไม่เห็นและล่องลอยอยู่ในอากาศที่เรียกว่า "ดิจิทัล" นับประสาอะไรกับการพูดผ่าน "โทรศัพท์มือถือ" แค่เบาๆ แต่ได้ยินไปอีกซีกโลก ที่กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในวันนี้

หรือจะมีคุณทวด คุณตาท่านไหนบ้าง ที่รู้ล่วงหน้าว่า วันหนึ่ง วลี "เหมือนกันอย่างกับแกะ" จะเกิดขึ้นจริง!

นี่ยังไม่นับเหตุการณ์สำคัญของโลกที่ร่วมเป็นพยานในก้าวแรกของมนุษยชาติบนดวงจันทร์ และตามมาด้วย "ดาวเทียม" ที่ทำให้โลกไร้พรมแดนอย่างแท้จริง

แต่สำหรับเราๆ ท่านๆ ในวันนี้ ‘จุดประกาย’ จะขอยกตัวอย่างสิ่งประดิษฐ์บางชิ้นที่เชื่อกันว่า จะมีผลต่อโลกกลมๆ ในวันข้างหน้า แล้วลองมาดูกันว่า คุณเชื่อหรือไม่ ว่ามันจะเปลี่ยนโลกได้จริง

  • บิทคอยน์ สกุลเงินดิจิทัล

ถ้าโทรศัพท์มือถือ คือ ช่วงวัยหนึ่งของการเติบโตทางเทคโนโลยี วันนี้ในยามที่โลกสองใบคู่ขนาน ออฟไลน์-ออนไลน์ ดึงดูดซึ่งกันและกัน จนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว อะไรที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ได้ทั้งนั้น และคงถึงเวลาแล้วสำหรับการต้อนรับ “สิ่งใหม่” กับสกุลเงินดิจิทัลนามว่า “บิท คอยน์” ซึ่งแม้จะจับต้องไม่ได้ แต่สามารถใช้จ่ายได้จริง แถมยังมีอัตราแลกเปลี่ยนกับหลายๆ สกุลเงินของโลก แม้กระทั่งเงินบาทของไทยเรา

อันที่จริง เงินบิทคอยน์จะเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจะมาดังระเบิดก็เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในตอนที่เอฟบีไอสั่งปิดเว็บไซต์ "ซิลค์โรด" ซึ่งลอบจำหน่ายยาเสพติดและทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม พร้อมทั้งยึดเงินบิทคอยน์ได้ถึง 26,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 115 ล้านบาท ) และนั่นจึงทำให้สกุลเงินน้องใหม่ที่กำลังจะฉลองครบ 5 ขวบในวันพรุ่งนี้ (3 มกราคม 2557) ได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยเฉพาะหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า กลุ่มมิจฉาชีพและแก๊งค้ายาเสพติดมีแนวโน้มใช้บิทคอยน์ในการฟอกเงินและทำธุรกรรม เพื่อหลบหลีกกระบวนการทางกฎหมาย เนื่องจากไม่ต้องใช้ตัวกลางในการซื้อขาย ธนาคารกลายเป็นส่วนเกิน ขณะที่รัฐบาลไหนๆ ก็ไม่สามารถเข้ามากำกับดูแลได้

ที่สำคัญคือ บิทคอยน์ กำลังถูกจับตามองว่า มันจะก้าวขึ้นมาทดแทนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเป็นสกุลเงินสากลที่ใช้ซื้อขายกันได้หรือไม่

ในปี 2556 ที่ผ่านมา อาจจะถือเป็นปีทองของบิทคอยน์เลยก็ว่าได้ เพราะจากเงินที่ใช้จ่ายกันในโลกออนไลน์ แต่กลับสามารถทลายกรอบเดิมๆ จนทำให้วันนี้ เราสามารถนำบิทคอยน์มาใช้จ่ายซื้อข้าวของเครื่องใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือจะสั่งเอสเปรสโซ่ร้อนๆ สักแก้วมานั่งจิบก็ทำได้ในร้านค้าที่ขึ้นป้ายว่า รับเงินสกุลดังกล่าว

ไม่นานมานี้ ที่แคลิฟอร์เนียก็เพิ่งมีข่าวการซื้อขายรถยนต์หรู Tesla Model S ที่แม้จะไม่มีการเปิดเผยราคา แต่สำหรับรถรุ่นนี้ สนนราคาเริ่มต้นที่ 6 หมื่นไล่เรียงไปจนทะลุแสนดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นคือมูลค่าการซื้อขายด้วยเงินที่มองไม่เห็นสกุลนี้!

ถ้าถามว่า แล้วเงินบิทคอยน์เกิดขึ้นและทำงานอย่างไร ดร.ไสว บุญมา อธิบายการทำงานของบิทคอยน์ไว้ในบทความเรื่อง “ฟองสบู่ หรือตะแกรงดักแมลงเม่า” ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 12 เม.ย.2556 ใจความตอนหนึ่งว่า..

“ผู้สร้างบิทคอยน์ใส่โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าไปในระบบอินเทอร์เน็ตเมื่อปี 2552 โปรแกรมนี้มีโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่เขาเชิญชวนให้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์หาคำตอบ ผลตอบแทนสำหรับความพยายามในการหาคำตอบได้แก่บิทคอยน์ซึ่งต่อมามีกิจการและร้านค้ารับแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการของตน การใช้เวลาค้นหาคำตอบสำหรับโจทย์คณิตศาสตร์ดังกล่าวเป็นเสมือนการ “ทำเหมือง” เพื่อขุดเอาเงินตราสกุลบิทคอยน์ ในขณะนี้มีผู้ทำเหมืองได้ไปแล้วราว 11 ล้านหน่วย กฎเกณฑ์ของการสร้างเงินตราที่ไม่มีรัฐบาลควบคุมนี้มีอยู่ว่า หลังจากผู้ทำเหมืองขุดบิทคอยน์ไปได้ครบ 21 ล้านหน่วย เหมืองก็จะปิดลง”

...เพราะฉะนั้น จึงมีอยู่สองทางหากจะได้เงินบิทคอยน์มาครอง คือ หนึ่ง ไปร่วม “ขุดเหมือง” ด้วยการแก้โจทย์คณิตศาสตร์กับชาวกีคทั้งหลาย หรือสอง คือ “ซื้อ” โดยเอาเงินสกุลอื่นไปแลกมา ซึ่งไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามแต่ ที่แน่ๆ คือ วันนี้บิทคอยน์กำลังถูกจับตามองจากทั่วโลก รัฐบาลของหลายๆ ประเทศต้องประชุมเป็นการพิเศษเพื่อกำหนดท่าทีที่ควรจะมีต่อเงินที่โลกไม่เคยรู้จัก

แม้จะมีการออกคำเตือนให้ระมัดระวังในการการใช้เงินสกุลนี้ในบางประเทศ เนื่องจากความผันผวนรุนแรงของค่าเงินที่ขึ้นลงอย่างคาดเดาไม่ได้ และไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำถึงตัวแปรที่ส่งผลต่อการสวิงในหลายๆ ครั้ง อย่างเช่นในเดือนธันวาคม2556 ที่ผ่านมา ค่าเงินบิทคอย์ลดฮวบ จาก 33,423 บาทในวันที่ 2 ธันวาคม มาเหลือที่ 19,758 บาทในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งหากใครข้องแวะกับเงินสกุลนี้โดยไม่อัพเดทสถานการณ์ให้ดี มันจะเหมือนเล่นกับไฟดีๆ นี่เอง แต่ที่ผ่านมากลับมีผู้ที่ทั้งสนใจ และไว้วางใจใช้บิทคอยน์สูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจ

ทั้งนี้ กระแสของบิทคอยน์ไม่ได้มีแค่การซื้อง่ายขายคล่องทั้งโลกจริงๆ และเสมือนจริงเท่านั้น เพราะมันก็ไม่ต่างจากเงินสกุลอื่นๆ ตรงที่เกิดความนิยมหันมาซื้อหา ลงทุนในเงินสกุลนี้กันมากขึ้น โดย นิวยอร์กไทม์ส ระบุว่า พี่น้องฝาแฝด คาเมรอน และไทเลอร์ วิงเคิลวอส คู่กรณีของ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ที่เคยฟ้องร้องว่าซัคเกอร์เบิร์กว่า ขโมยไอเดียเฟซบุ๊คจากพวกตนไปนั้น ก็ถูกจัดอยู่ในข่ายเศรษฐีบิทคอยน์ โดยประเมินว่า มีอยู่ในครอบครองราว 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับไทยเรายังถือว่า บิทคอยน์ ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยบริษัท บิทคอยน์ จำกัด ยังไม่สามารถเข้ามาจดทะเบียนรับซื้อแลกเปลี่ยนเงินตราในบ้านเราได้ แต่อย่างที่รู้กันดีอยู่ว่า บิทคอยน์ คือ เงินดิจิทัล ที่อยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยหากใครต้องการจะครอบครอง แต่ก็อย่างที่รัฐบาลในหลายๆ ประเทศออกประกาศเตือนถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นหากวันดีคืนดีเงินบิทคอยน์ล้มหายตายจากไปว่า คงไม่มีรัฐบาลหน้าไหนยืดอกขึ้นมาจ่ายชดเชยความเสียหายให้อย่างแน่นอน

สรุปก็คือ อยากเล่นเอง ก็ต้องเจ็บเอง ตกลงไหม?

  • นวัตกรรม กูเกิล

ผู้ให้บริการเสิร์ชเอ็นจิ้นที่กินส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดของโลก และไม่ได้แค่ครอบครอง “ข้อมูล” จำนวนมหาศาลของชาวโลก แต่ยังกำลังเป็นองค์กรหนึ่งซึ่งมีบทบาทต่อการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่อนาคตอีกด้วย

ที่ผ่านมา ได้มีหลายๆ ภาพ หลายๆ ข่าว ทั้งลือทั้งจริงถูกปล่อยออกมาจาก “กูเกิล เอ็กซ์ แล็บ” หน่วยงานที่มีหน้าที่คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมสุดล้ำภายใต้การควบคุมดูแลของ เซอร์เก้ บริน หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล ที่นวัตกรรมบางชิ้น “ล้ำ” เหมือนกำลังอยู่ในหนังไซไฟ อย่างเช่นที่ลือกันว่า กูเกิล กำลังพัฒนาลิฟท์ขึ้นสู่อวกาศ ที่ร้อนให้ผู้บริหารรีบออกมาปฏิเสธ แต่ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ว่า โครงการดังกล่าวอยู่ในขั้นพัฒนาของกูเกิลจริงหรือไม่

แต่ที่เปิดตัวแล้ว และเรียกความสนใจจากทั่วโลกได้ชนิดข่าวไอทีอื่นๆ ชิดซ้าย ก็เห็นจะเป็นการมาถึงของแว่นตาไฮเทค “กูเกิล กลาส” ที่เตรียมจะทำตลาดในปี 2557 นี้แล้ว หลังจากได้เห็น เซอร์เก้ บริน ใส่อวดออกสื่ออยู่หลายต่อหลายครั้ง แถมยังส่งแว่นตาไฮเทคนี้ขึ้นไปอวดโฉมบนรันเวย์นิวยอร์ก แฟชั่นวีค ให้กับแบรนด์ DVF ในคอลเลคชั่น Spring/Summer 2013 collection อีกด้วย โดยมีแผนจะวางตลาดในปี 2557 นี้

ความล้ำของ Google Glassอยู่ที่สั่งทำงานด้วยเสียง และแสดงข้อมูลหรือภาพที่มุมบนของเลนส์ข้างขวาโดยไม่รบกวนสายตา โดยแว่นตายังสามารถถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอ แชร์คอนเทนต์ได้โดยตรงผ่านอีเมล์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ค รวมทั้งสามารถสนทนาได้เหมือนสไกป์ และยังสามารถรายงานสภาพอากาศหรือแสดงแผนที่การเดินทางได้อีกด้วย

เทคโนโลยี Augmented Reality เป็นการผสมผสานระหว่างโลกจริง ๆ ที่เราอยู่ เข้ากับโลกเสมือน โดยสร้างภาพ เสมือนจริงให้มาปรากฏอยู่บนเลนส์แว่นที่โปร่งแสง ทำให้ผู้ใช้ที่มองผ่านเลนส์แว่นสามารถเห็นภาพเสมือนจริง (Virtual world) นั้นควบคู่ไปกับภาพวิวของจริง (Real world) ได้ หรือก็คือ เรายังคงเห็นวิวทิวทัศน์ทั่ว ๆ ไปเหมือนปกติ แต่จะมีภาพเสมือนจริงที่ซ้อนบนเลนส์แว่นคอยแสดงข้อมูลต่าง ๆ ให้เราเห็นพร้อมกันไปด้วย

ถัดจากนั้นไม่นาน โลกก็ได้เห็น “รถยนต์ไร้คนขับ” ที่พัฒนาโดยยักษ์ใหญ่รายนี้ โดยใช้ชื่อเรียกว่า Google Robocar ที่ขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยระบบอัตโนมัติควบคุม พวงมาลัย ระบบเบรก และระบบการเร่งโดยการส่งคำสั่งให้ขับเคลื่อนด้วยระบบสั่งการไร้สาย ติดตั้งกล้องไว้ด้านหลังของกระจกมองหลังที่สามารถรับภาพได้กว้างถึง 360 องศาเพื่อจดจำวัตถุที่อยู่โดยรอบ รวมทั้งติดตั้งเรดาร์ 3 ตัวที่กันชนด้านหน้าและหนึ่งตัวด้านหลังคอยจับวัตถุในระยะไกล เครื่องระบุตำแหน่ง ติดตั้งที่ล้อหลังด้านซ้าย เพื่อระบุตำแหน่งบนแผนที่ ด้านบนหลังคาห้องโดยสาร ติดตั้งระบบ LIDAR (Light Detection And Ranging) แสดงภาพให้เห็นเป็นภาพ 3 มิติ ทั้งคนเดินถนนและกรวยจราจรด้วยซึ่งตรวจจับวัตถุในระยะไกลได้ถึง 60 เมตร และสั่งการขับเคลื่อนด้วยคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องโดยสาร ในการทดลองครั้งที่ผ่านมา ด้วยขับเคลื่อนด้วยระบบอัจฉริยะนี้ไกลถึง 1,500 กิโลเมตร โดยที่ไม่เกิดอุบัติเหตุเลยสักครั้ง

นอกจากนี้กูเกิลได้เตรียซุ่มพัฒนาธุรกิจ “หุ่นยนต์” อย่างเป็นจริงเป็นจัง หลังจากกว้านซื้อบริษัทหุ่นยนต์ถึง 7 บริษัทมาไว้ในเครือ โดยล่าสุดเพิ่งจะซื้อบริษัท บอสตัน ไดนามิค ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างหุ่นยนต์สัตว์ที่เคยร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกาพัฒนาหุ่นยนต์สัตว์มาแล้ว โดยเฉพาะที่ฮือฮากันมากก็คือ เจ้าหุ่นยนต์ชีต้า ที่สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 28 ไมล์ต่อชั่วโมง แถมยังมีการทรงตัวเป็นเยี่ยม แม้จะถูกเตะแต่ก็ยังไม่ล้ม ความพยายามที่จะครอบครองนวัตกรรมหุ่นยนต์ของกูเกิลในครั้งนี้ก็เลยถูกจับตามองเป็นพิเศษว่า คิดจะทำอะไรกันแน่

นวัตกรรมในยี่ห้อกูเกิลยังมีอีกจำนวนไม่น้อย ที่เชื่อกันว่า จะเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนโฉมอนาคต เช่น "ลายสักอิเล็กทรอนิคส์" จากชื่อดูน่ากลัว แต่ไม่ได้สักลงไปจริงๆ แต่เป็นเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับแถบลายสักที่ประกอบไปด้วยแบตเตอรี่ ไมโครโฟนไร้สายและตัวรับส่งสัญญาณไร้สาย คล้ายแผ่นสติ๊กเกอร์บางๆ ที่แปะไว้ที่คอเพื่อจับเสียงและส่งไปยังอุปกรณ์ประเภทสมาร์ทโฟนที่ผู้ใช้ต้องพกติดตัวอยู่แล้ว โดยจะรับเฉพาะเสียงที่เกิดจากลำคอและตัดเสียงรบกวนออกไป เพื่อการสื่อสารที่คมชัดมากขึ้น แม้ในที่ที่มีเสียงดัง

มาถึงตรงนี้ พอจะจินตนาการออกไหม ว่าสิบปีข้างหน้า รูปแบบการใช้ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร..