ดับไฟ(ใต้)ด้วยปลายพู่กัน

ดับไฟ(ใต้)ด้วยปลายพู่กัน

จากผลพวงความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้พรากผู้เป็นพ่อของเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ณ วันนี้เขาจึงใช้ศิลปะเป็นเครื่องเยียวยาใจ

หลายขวบปีที่ปลายด้ามขวานมีหลายชีวิตที่ต้องตกอยู่ในสภาพ “เสียศูนย์”อันเป็นผลมาจากความ “สูญเสีย”เมื่อคนรักในครอบครัวต้องมาจบชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความรุนแรงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นมาตลอด 9 ปีเต็ม

การเยียวยาด้วยเม็ดเงินจากภาครัฐคือ การบรรเทาความยากลำบากให้คนที่อยู่เบื้องหลังในวันที่ไร้เสาหลักของครอบครัวเท่านั้น แต่สำหรับคราบน้ำตาที่ตกในกับบาดแผลแห่งความรู้สึก คงต้องอาศัยวันเวลาให้ช่วยรักษาและคืนความเข้มแข็งให้ชีวิตสามารถกลับมาตั้งหลักก้าวเดินเฉกเช่นคนอื่นอีกครั้งเท่านั้น...แต่จะมีสักกี่รายที่ก้าวข้ามวิกฤตอันเลวร้ายแห่งชีวิตเช่นนี้ไปได้

  • ฝันกลางไฟ หัวใจศิลปิน

สุไลมาน ยาโม เด็กหนุ่มมุสลิมวัย26ปี แห่งบ้านคลองช้าง ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี คือหนึ่งในเหยื่อแห่งความรุนแรงที่ต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รัก มิหนำซ้ำแม่ผู้ให้กำเนิดยังต้องได้รับบาดเจ็บทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนเรือนกายมาจวบจนทุกวันนี้

เขามีชีวิตเฉกเช่นเด็กมุสลิมคนอื่นๆ ในชุมชนบ้านคลองช้าง พื้นฐานครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ยึดอาชีพรับจ้างและทำสวนทั่วไป จนกระทั่งก้าวเดินออกจากรั้วสถานศึกษามารับจ้างเป็นคนรับส่งน้ำดื่ม และอุปโภคตามบ้านเรือนทั่วไป โดยรายได้ทุกบาทใช้ส่งเสียน้องสาวและน้องชายร่ำเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน

แต่สิ่งหนึ่งที่ 'สุไลมาน' มีความแตกต่างจากเพื่อนร่วมชุมชนคนอื่น นั่นคือ การหลงใหลในศิลปะเป็นกรณีพิเศษ มีความฝันว่าสักวันจะต้องเป็น “นักวาดภาพ”ให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมักจะหาโอกาสไปขอความรู้จากศิลปินอิสระในท้องถิ่น รวมทั้งเจียดเงินส่วนหนึ่งซื้อผ้าใบและสีน้ำมันมาละเลงภาพด้วยความรู้เท่าที่มี

เด็กหนุ่มบ้านคลองช้างคนนี้ใช้เวลายามค่ำคืนฝึกฝนฝีมือตามความรู้ที่หาได้จากหนังสือและเครื่องมือในโลกอินเตอร์เน็ต จนนำมาซึ่งความสามารถด้านศิลปะที่เป็นโล้เป็นพายมากขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งวันหนึ่งมีโอกาสเห็นข่าวสารในพระราชสำนัก และคำบอกเล่าจากเพื่อนเกี่ยวกับศูนย์ศิลปชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงตัดสินใจสมัครเข้ารับทุนเพื่อร่ำเรียนวิชาศิลปะที่ใจรักอย่างจริงจัง

ก่อนเดินทางไปตามความฝัน 'สุไลมาน'ได้ละเลงฝีมือลงบนผืนผ้าใบเป็นรูปดอกกล้วยไม้ พร้อมกับนำไปเข้ากรอบแขวนไว้ที่บ้าน ซึ่งนับเป็นผลงานชิ้นแรกที่มอบให้ผู้เป็นพ่อ ซึ่งคอยสนับสนุนเรื่องวาดภาพมาโดยตลอด และผลงานชิ้นนี้เองที่บิดาหอบขึ้นรถจักรยานยนต์ตระเวณพาไปอวดเพื่อนบ้านทั่วทั้งชุมชน

ในช่วงที่สุไลมาน เดินทางไปร่ำเรียนวิชาศิลปะ ณ ศูนย์ศิลปชีพบางไทร ได้เพียง1ขวบปี ขณะที่กำลังขึงผ้าใบเพื่อเตรียมวาดภาพ ก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายผ่านทางโทรศัพท์ว่า “พ่อถูกยิงตาย” ซึ่งเด็กหนุ่มจากบ้านคลองช้างยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กระทั่งเสียงสะอื้นร่ำไห้เล็ดลอดผ่านปลายสาย เขาจึงเก็บกระเป๋ามุ่งหน้ากลับปัตตานีทันที

“คนร้ายยิงพ่อผมด้วยอาวุธปืนจนเสียชิวิต ขณะขี่มอเตอร์ไซด์เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ม.ค.ปี51 เวลาประมาณ 17.15 น. ส่วนแม่โดนกระสุนปืนเข้าที่หัวไหล่ วันนี้ยังมีรอยแผลเป็น ให้ท่านรู้สึกเจ็บปวดอยู่เลย”สุไลมานย้อนเรื่องราว

สุไลมาน บอกว่า ชีวิตเหมือนโดนคนเอาไม้ฟาดลงมาที่กลางศรีษะ เพราะรู้สึกมึนไปหมด ที่สำคัญพ่อยังไม่มีโอกาสเห็นผลงานศิลปะที่เขาไปร่ำเรียนอย่างจริงจังเลยสักชิ้น นี่คือความเสียใจที่เขาไม่รู้จะบรรยายอย่างไร

หลังเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนา เขาได้มุ่งหน้ากลับสู่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทยอีกครั้ง ด้วยกับความมุ่งมาตรว่าจะเก็บเกี่ยววิชาศิลปะให้มากที่สุด และจะนำเอาสิ่งนี้กลับมาทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะเชื่อว่าศิลปะสามารถเยียวยาความรุนแรงได้

“ศิลปะรักษาคนได้ เพราะผมผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ด้วยสิ่งนี้ ดังนั้นผมจะเอาความรู้กลับไปเยียวยาเด็กและเหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัด ที่สำคัญผมไม่อยากให้ใครสูญเสียเหมือนผม ผมอยากให้เหตุการณ์ภาคใต้สงบสุขอีกครั้ง ไม่อยากเห็นใครต้องสูญเสียครอบครัว ญาติพี่น้องอีก”

  • รังสรรค์ศิลป์เพื่อถิ่นเกิด

กว่า 4 ปีเต็มกับการเรียนรู้ศิลปะ ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จนเริ่มนำผลงานออกสู่สายตาภายนอก โดยเฉพาะความสามารถด้านการวาดภาพเหมือนด้วยสีน้ำมัน โดยเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์องค์พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์

ที่สำคัญรายได้จากการวาดภาพทุกบาททุกสตางค์ นอกจากจะส่งมาให้ผู้เป็นแม่เพื่อเลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังนำเงินส่วนหนึ่งไปสมทบ เพื่อสร้างมัสยิดภายในหมู่บ้านอีกด้วย เพราะสุไลมาน เชื่อว่าศิลปะและศาสนาคือสิ่งที่จะกล่อมเกลาจิตใจคนในชุมชนให้อยู่บนเส้นทางที่ดีได้ โดยไม่ตกอยู่ในวังวนของความรุนแรง

ล่าสุดมีผู้ซื้อผลงานของสุไลมาด้วยเงิน ซึ่งเป็นตัวเลข 6 หลัก เป็นผลงานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เจ้าตัวนำเอารายได้มาร่วมสร้างมัสยิดใกล้บ้านอย่างเต็มกำลังด้วยหวังจะให้ศาสนสถานของชุมชนแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ผลงานศิลปะของสุไลมาน ยังมีลูกค้าที่เป็นชาวไทย และชาวต่างประเทศ ออเดอร์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นภาพที่สะท้อนแง่มุมชีวิตและอัตลักษณ์วิถีสังคมคนปลายด้ามขวาน โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายภาพได้ นอกจากจะบริจาคสร้างมัสยิดแล้ว ยังนำไปใช้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมพัฒนาเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผ่านกลุ่มศิลปินชายแดนภาคใต้อีกด้วย

ทุกวันนี้สุไลมานจะตระเวณเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับเยาวชนในพื้นที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ด้วยการวาดภาพ โดยลงทุนควักกระเป๋าซื้อผ้าใบและสีน้ำมันด้วยตัวเอง แล้วนำไปให้เด็กๆละเลงจินตนาการผ่านปลายภู่กันมาเป็นเวลาหลายขวบปีแล้ว

“เด็กๆ จำนวนมากที่ผมได้ตระเวนสอนวาดภาพในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ผมได้เห็นแววตาแห่งความสุข เพราะสิ่งนี้หลายคนแทบไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน ดังนั้นผมตั้งใจว่าจะเอาศิลปะไปกล่อมเกลาเด็กให้ทั่วปลายด้ามขวาน”สุไลมานกล่าว

  • ภาพพ่อแห่งแผ่นดิน ณ ถิ่นปลายขวาน

ล่าสุดสิ่งที่สร้างความปลาบปลื้มปิติให้กับชีวิตมากที่สุด นั่นคือ เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธี “เบิกพระเนตรพระพุทธมหามุนินทโลกนาถ” ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว อ.โคกโพธิ์ และทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงแรม ซี เอส ปัตตานี ทรงเจิมแผ่นศิลาเนื่องในโอกาสครอบรอบ 50 ปี ของการก่อตั้งบริษัท อีซูซุ หาดใหญ่ จำกัด ในวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2556 สุไลมาน ยาโม มีโอกาสถวายพระฉายาลักษณ์ ด้วยตนเอง

“ผมยังมีฝันหนึ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ นั่นคือผมจะวาดภาพในหลวง เมื่อคราวเสด็จลงพื้นที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งขณะนี้ตระเวณรวบรวมภาพถ่ายได้จำนวนหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่น้อยคนนักจะเคยรับรู้ว่าถิ่นทุรกันดารใน3จังหวัด พระองค์ท่านได้เสด็จมาพระราชทานความช่วยเหลือมากมาย ซึ่งภาพส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายขาวดำทั้งสิ้น และผมตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวเป็นภาพสีน้ำมันจำนวน86ภาพ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 86 พรรษา โดยจะนำภาพมาแสดงนิทรรศการในพื้นที่แห่งนี้ เพื่อให้ทุกคนในดินแดนแห่งนี้รับรู้ว่าพระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับพสกนิกรในชายแดนภาคใต้มากล้นเพียงใด”สุไลมาน กล่าวถึงความตั้งใจ

ประยูรเดช คณานุรักษ์ ทายาทคหบดีแห่งเมืองปัตตานี ในฐานะประธานมูลนิธิเทพปูชนียสถานปัตตานี หรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว บอกว่า ได้รู้จักกับ “สุไลมาน”มานานหลายปีตั้งแต่ติดตามให้ความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และได้พบกับความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ นั่นคือความสามารถทางด้านศิลปะที่ได้ร่ำเรียนมาจากศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และตระเวณเอาทักษะความสามารถออกไปสอนเด็กๆทั่วชายแดนภาคใต้ โดยควักกระเป๋าตัวเองทุกบาททุกสตางค์

“เห็นถึงความตั้งใจของเด็กชายคนนี้มาก และเริ่มช่วยเหลือด้วยการซื้อผลงานต่อเนื่องมาตลอดในระยะ3ปีที่ผ่านมา ซึ่งชื่นชมในฝีมือและความตั้งใจดี โดยภาพส่วนใหญ่ที่สะสมจากสุไลมานคือภาพในหลวง ภาพราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ และล่าสุดได้จ้างให้วาดภาพสีน้ำมัน ซึ่งเป็นภาพที่พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเมื่อหลายสิบปีก่อน”ประยูรเดช กล่าว

ที่สำคัญในช่วงต้นปีของทุกๆ ปีซึ่งมีงานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะให้สุไลมาน แสดงนิทรรศกาลภาพวาดสีน้ำมัน ซึ่งจะประกอบด้วยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีจำนวนภาพนับร้อย เพื่อให้ผู้มาร่วมงานได้ชมภาพพระบารมีการวาดของเด็กหนุ่มปัตตานีคนนี้

“ผมได้ร่วมสนับสนุนแนวคิดของสุไลมานในการเตรียมวาดภาพในหลวง เมื่อคราวเสด็จทรงงานในพื้นที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยขณะนี้ออกแสวงหาภาพถ่ายในอดีตได้กว่า100ภาพ จากนั้นนำมาขยายเพื่อเป็นต้นแบบและวาดด้วยสีน้ำมัน จากนั้นจึงเตรียมดำเนินการจัดแสดง เพื่อให้คนในพื้นที่มีโอกาสได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนว่า พ่อของแผ่นดินทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรในดินแดนปลายด้ามขวานล้นพ้นเพียงใด”ประยูรเดช เล่าด้วยรอยยิ้ม

ฟารีดา ตาเปาะโต๊ะ ครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ซึ่งเป็นศิลปินกลุ่มชายแดนภาคใต้ หนึ่งในผู้ร่วมอุดมการณ์นำเอาศิลปะออกเดินทางไปกล่อมเกลาเยาวชนในพื้นที่ปลายด้ามขวานตลอดหลายปีที่ผ่านมา บอกว่า ฝันของสุไลมานคงไม่สามารถเกินขึ้นได้หากขับเคลื่อนเพียงลำพัง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวทำอยู่ในวันนี้ได้ดึงเอาศิลปินอิสระและศิลปินมีชื่อมากมายมาช่วยกันสร้างงานดีๆ เพื่อช่วยเบาบางความทุกข์จากผลพวงอันรุนแรงด้วยความงดงามของศิลปะ

“โครงการวาดภาพในหลวงเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ นับเป็นความฝันอันสูงสุดที่สุไลมานตั้งใจและขออุทิศความสามารถและกำลังทั้งหมดเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน และหวังให้คนสามจังหวัดได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และช่วยกันหยุดความแรง ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งสันติสุขด้วยกัน เพื่อให้พระพักตร์ของพ่อแห่งแผ่นดินมีแต่รอยแย้มพระสรวล” ฟารีดา บอกด้วยแววตามุ่งมั่น

ทั้งหมดคือเรื่องราวของเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ที่ตั้งใจจับพู่กันป้ายสีน้ำมันลงบนผืนผ้าใบเพื่อหวังดับไฟที่คุโชนอยู่ที่ปลายด้ามขวานเวลานี้