ลมหายใจแห่งความหวัง "ช่างเทียน"

ลมหายใจแห่งความหวัง "ช่างเทียน"

ประเพณีเป็นสิ่งที่มี "คุณค่า" แต่ถ้าฟันเฟืองสำคัญในการสร้าง "เทียนพรรษา" ถูกตีค่าด้วยราคาของเงิน "จารีต" นั้นจะดำเนินต่อไปอย่างไร

"อยู่ได้เพราะใจรัก" คือถ้อยคำจากปาก "ช่างเทียน" แห่งเมืองดอกบัว ที่ปวารณาตัวว่าจะขอรักษาภูมิปัญญาการประดิษฐ์ต้นเทียนนี้ไว้ตราบจนชั่วลูกหลาน แม้จะไม่มีใครมองเห็น "คุณค่า" ที่แท้จริงของช่างเทียนเลยก็ตาม


นอกจากอุบลราชธานี ทุกวันนี้หลายจังหวัดพยายามผลักดันให้การแห่เทียนพรรษาเป็นเทศกาลเชิดหน้าชูตาของจังหวัด แน่นอนว่า มีเงินสะพัดในจังหวัดเหล่านี้มหาศาล และหนึ่งในสิ่งดึงดูดสำคัญก็คือ ความวิจิตรงดงามของ "ต้นเทียน" โดยมี "ช่างเทียน" เป็นผู้รังสรรค์ผลงาน


เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของช่างเทียนในประเทศไทยเป็นช่างจากจังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ปัจจุบันมีช่างเทียนฝีมือดีอยู่ในทำเนียบไม่ถึง 50 คน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม "เจ้าภาพ" จากหลายๆ จังหวัด จึงหมายตาช่างเทียนฝีมือจัดจ้านไว้ให้เป็นนายช่างใหญ่ของตัวเอง


ยิ่งช่างเทียนคนไหนเก่งๆ หรือได้รับชัยชนะจากการประกวดในปีนี้ ดีกรีค่าตัวก็จะเพิ่มขึ้นทวีคูณในปีถัดไป


"ค่าตัว" เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ เท่านั้นที่ทำให้ช่างเทียนตระเวณเดินทางไปสร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้าภาพในจังหวัดต่างๆ แต่ "คุณค่า" ต่างหากที่ช่างเทียนทุกคนเห็นว่าสำคัญ พวกเขาจึงพยายาม "เผยแพร่" ความงดงามเหล่านั้นออกไป ให้คนไทยทั่วทุกพื้นที่ได้รู้จัก

สว่างไสวให้ "ปัญญา"


ประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจารีตที่สืบปฏิบัติกันมาช้านาน ในยุคแรกๆ นั้นการแห่เทียนจะทำกันภายในคุ้มวัด โดยชาวบ้านจะมารวมตัวกันเพื่อจัดสร้างต้นเทียนขนาดย่อม พร้อมประดับประดาให้สวยงาม ก่อนนำไปแห่ถวายพระ กระทั่งมีการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว ทำให้ประเพณีแห่เทียนพรรษาถูกขยาย "มูลค่า" ให้ใหญ่ขึ้น และกลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ชาวพุทธต้องไปชม


แรกทีเดียว ต้นเทียนพรรษาที่จะนำมาแห่ในขบวนนั้นเป็นเทียนโบราณที่หล่อด้วยโครงสร้างของกระบอกไม้ไผ่ แล้วนำขึ้นเกวียน หรือคานหามแห่ไปเข้าวัด บางชุมชนก็ใช้วิธีมัดรวมต้นเทียน แล้วประดับด้วยกระดาษสี แต่ก็ยังมีขนาดพอดีที่จะให้พระสามารถจุดและใช้งานได้จริง ต่อเมื่อเวลาผ่านไปศิลปะการทำเทียนก็พัฒนาขึ้นจนมีโครงสร้างขนาดใหญ่ ทั้งยังเต็มไปด้วยลวดลายที่วิจิตรบรรจง ซึ่งจุดประสงค์ของการสร้างเทียนพรรษารูปแบบนี้ก็เพื่อการประกวดแข่งขันเป็นหลัก


"จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาผมก็เห็นการประกวดเทียนพรรษาแล้ว มันน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่มีการแห่เทียน โบราณเลยจะเป็นเทียนแบบมัดรวม ไม่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่ทุกวันนี้มีการแบ่งเป็นประเภทต่างๆ 3 ประเภท คือ เทียนแกะสลัก เทียนติดพิมพ์ และเทียนโบราณ" สุคม เชาวฤทธิ์ หัวหน้าช่างเทียน วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นเล่า

เขาว่า เมื่อมี "รางวัล" เข้ามาเกี่ยวข้อง การประกวดเทียนพรรษาแต่ละปีจึงยิ่งมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากขึ้น


"มันสู้กันด้วยฝีมือช่าง ซึ่งช่างเก่งๆ มีน้อย แล้วก็มีแต่คนจะดึงเอาช่างไปทำงานอยู่บ้านตัวเองหมด มีช่างหลายคนนะที่ไปทำให้จังหวัดอื่นๆ ซึ่งผมก็คุยกันอยู่ เหลือไม่กี่คนหรอกที่จะรักบ้านเกิดจริงๆ ส่วนสาเหตุที่ไปบางคนก็ผิดหวังจากกรรมการ คล้ายๆ กรรมการไม่เป็นธรรม ก็น้อยใจ เพราะประกวดแล้วไม่ได้ ผมก็คุยกับเขา "เจ้าเซื่ออ้ายมั้ย อ้ายยังถึกหลายกว่าเจ้า เป็นหยังเจ้าถึกเทื่อเดียว เจ้ายังน้อยใจ" แต่เขาประกาศตัวเลยว่า จะไม่ขอทำที่อุบลแล้ว จะไปทำที่สุพรรณเลย แล้วก็มีช่างอีกหลายคนที่ไป สรุปคืองานแห่เทียนสุพรรณจะใหญ่แค่ไหนก็เป็นช่างอุบลทั้งนั้น"


อย่างไรก็ตาม สุคม ยืนยันว่า ช่างเทียนทุกคนที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ มีพื้นฐานความคิดที่อยากจะเผยแพร่วัฒนธรรมการทำเทียนเหมือนกัน แม้บางครั้งจะมีรายได้เป็นสิ่งล่อตาล่อใจ แต่ถ้าอึดอัดเมื่อไร พวกเขาก็พร้อมจะถอยได้เหมือนกัน


"ผมรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่า แล้วในฐานะที่เกิดเป็นคนเมืองอุบลโดยกำเนิด คือตั้งแต่เป็นเด็กรู้สึกภูมิใจว่าประเพณีแห่เทียนพรรษา มันเป็นงานอเมซิ่งของบ้านเรา คือเป็นที่หนึ่งในประเทศไทย เราก็อยากทำงานที่บ้านเราให้ดีที่สุด"

พัฒนาให้ "บทเรียน"


หัวหน้าช่างเทียน วัดบูรพา ที่เชี่ยวชาญศิลปะการติดพิมพ์ เล่าว่า เขาเติบโตมาพร้อมกับการสร้างเทียน โดยมี "คุณพ่อสุรินทร์ กาญจนเสน" ที่เป็นช่างเทียนยุคแรกๆ เป็นครูต้นแบบ


"ตอนเป็นวัยรุ่นผมก็ได้แต่ไปดูเขา เพราะว่าเขาไม่ให้เด็กเข้าไปยุ่ง คือยังไม่เปิดกว้าง ผมหมายถึงเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมานะ เขาจะไม่ให้เด็กเข้าไปยุ่งด้วยเลย แต่เราก็ไปกวนๆ เขาอยู่อย่างนั้นแหละ จนปี 2528 พ่อสุรินทร์แกแก่ลงมาก อายุ 70 กว่าปีแล้ว เขาทำต้นเทียนให้วัดบูรพา ส่วนลูกชายแกก็ประมาณ 30 กว่าปี แกก็บอก เฮ้ย...คม แทนที่จะมากวน มึงพาลูกน้องมาช่วยดีกว่า คือเราเป็นหัวโจกอะไรประมาณนั้นไง เราก็พาน้องนุ่ง 4-5 คน มาร่วมด้วยช่วยกันกับเขา ตอนแรกๆ ก็มานวดเทียน มารีดลาย จนหลังๆ ก็ทำงานทั้งหมดได้เลย"


แม้จะมีพื้นฐานแค่การเรียนวิชาศิลปะภายในชั้นเรียน แต่เพราะสุคมได้มาเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ทำให้เพียงปีเดียว เขาก็สามารถคว้ารางวัลใหญ่ๆ มาให้วัดบูรพาและวัดบ้านนาควายได้สำเร็จ แน่นอนว่า หลังจากนั้นชื่อเสียงของ "ช่างคม" ก็เริ่มโด่งดังขึ้นตามลำดับ


"มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งคือเหมือนเล่นกีฬา เราอยากเป็น อยากเก่ง อยากชนะ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราหันมาสนใจทำเทียนอย่างจริงจัง แต่คุณค่าจริงๆ ของการทำเทียนผมว่ามันอยู่ที่การสืบทอดประเพณีที่ดีงาม อีกอย่างที่ผมชอบงานติดพิมพ์ เพราะผมรู้สึกว่างานติดพิมพ์มันสามารถสร้างงานให้คนอื่นได้ สามารถรวมใจคนอื่นได้ หรือสามารถเอาคนมาฝึกให้เป็นพื้นฐานของงานศิลปะต่อไปได้ มันเป็นการเริ่มต้นการฝึกงานที่จะสามารถพัฒนาให้เก่งแล้วไปทำงานศิลป์อื่นๆ ได้"


สุคม บอกว่า งานติดพิมพ์ต้องใช้คนมหาศาล กอปรกับน้องๆ รอบตัวที่รู้จักกันเป็นเด็กในกลุ่ม "เสี่ยง" หรือไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เขาจึงชักชวนเด็กๆ เข้ามาฝึกปรือฝีมือ ถือเป็นการให้โอกาส และร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามด้วย


"น้องๆ นับถือเรา เพราะเราเป็นคนง่ายๆ แล้วก็ให้โอกาสคน เราก็สอนเขา บางคนเรียนจบ ป.4 ยังอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ เราก็สอนเขา เป็นครูให้ทุกรูปแบบ บางคนเป็นเด็กที่เคยติดยา พอเขามาทำตรงนี้ก็ต้องออกจากยานะ เพราะพอทำจริงจังเขาเริ่มรู้สึกว่า เออ..เรามีฝีมือขึ้น ก็จะมีความคิดว่าเราน่าไปทางนี้ได้ ดีกว่าเขาไปมั่วกับยาเสพติด หรืออย่างน้องคนนี้(ชี้ไปที่น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งรีดเทียนอยู่) ต้นทุนทางครอบครัวของเขาต่ำ เขาไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ เมื่อก่อนว่างๆ เขาก็มาช่วยหลวงพ่อกวาดลานวัดบ้าง อะไรบ้าง พอได้เงินซื้อข้าวกิน บางทีไม่มีปัจจัยให้ ก็ให้ข้าวให้อะไรไปกิน ผมเห็นแล้วก็เลยชวนว่า โตก็มาซอยอ้ายสิล่า ไม่เป็นไรเฮากินนำกัน อยู่แบบพี่แบบน้อง ถ้าคนเฮาลืมสังคมแนวนี้ไป เมืองไทยก็บ่แม่นเมืองไทย แล้วสังคมหลักๆ ตรงนี้ก็คือของภาคอีสาน เฮาต้องอนุรักษ์ไว้"


หัวหน้าช่างเทียนหมายถึง เบญจมาศย์ โยธิโน ลูกมือทำเทียนที่เคยเป็นคน "ด้อยโอกาส" แต่วันนี้เธอสามารถฝึกปรือฝีมือจนสามารถเป็น "ครู" ให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้แล้ว


"เพิ่งเรียนมาได้ 2 ปี ก็ยังมีอะไรอีกเยอะที่ทำไม่ได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้ และพยายามทำให้ได้ ถ้าพี่เขาสอนเราต้องตั้งใจ แล้วเราก็เอาไปสอนน้องๆ ต่อ คือถ้าน้องๆ ที่ยังไม่เป็นเลยเราก็พยายามหาลายง่ายๆ ให้เขาลองก่อน ค่อยๆ ปรับขึ้นมายากขึ้นๆ ตอนนี้มีน้องๆ จากมหาวิทยาลัย แล้วก็โรงเรียนทั่วๆ ไปที่เขาเข้ามาทำ เราก็มาช่วยสอน"


เบญจมาศย์ บอกว่า ปัจจุบันการทำเทียนแบบนี้หาชมได้ยาก และเด็กรุ่นใหม่ก็สนใจน้อย เธอจึงขอเป็นหนึ่งแรงที่คอยประชาสัมพันธ์ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า เทียนพรรษามีคุณค่าและมีความสำคัญอย่างไร

แกะเทียนให้ "ถึงธรรม"


ตรงกันข้าม เทียนประเภทแกะสลักอาจใช้จำนวนคนไม่มากเท่าประเภทติดพิมพ์ แต่ในความน้อยนี้ต้องมี "ความมาก" อันหมายถึงความเก่งฉกาจของช่างผู้สร้างสรรค์งานด้วย


พุทธิศักดิ์ ภาคี หัวหน้าช่างแกะสลัก วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี บอกว่า งานแกะสลักที่อ่อนช้อยงดงามต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสม แม้ว่าคนงานของช่างแกะสลักจะน้อย แต่ทุกคนก็เชี่ยวชาญในงานแต่ละอย่างที่ตัวเองทำ


"ผมถนัดแกะสลัก เพราะว่าแกะสลักเทียนมา 20 ปีแล้ว รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร ไม่ใช่แค่แกะเป็นอย่างเดียว เราต้องรู้ตั้งแต่โครงสร้าง การผสมเทียน ใช้เทียนเก่าเทียนใหม่ผสมอย่างไรให้สีเทียนเสมอกัน เรื่องพวกนี้มันจะทำได้ต้องมีประสบการณ์"


เพราะผ่านงานมามาก ชื่อของพุทธิศักดิ์จึงเป็นที่รู้จักไปทั่ว แน่นอนว่า เขาเป็นหนึ่งในช่างเทียนที่ถูก "ซื้อตัว" ด้วยเหมือนกัน


"ของสุพรรณผมก็ทำ แต่ผมทำอยู่ที่บ้าน(อุบลราชธานี) เสร็จแล้วก็เอารถลากไป แต่ช่างบางคนเขาก็ไปทำที่โน่นเลย แล้วแต่คนนะ"


ดูจะเป็นงานยาก แต่ก็มี "วัยรุ่น" มาสมัครเป็นลูกมือของหัวหน้าพุทธิศักดิ์บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ อรุณสวัสดิ์ แสงคำ หนุ่มวัย 18 ปี จากจังหวัดศรีสะเกษ ที่พาตัวเองเข้ามาเรียนรู้งานแกะสลักเทียน เพราะชื่นชอบงานประเภทนี้เป็นพิเศษ

"ผมมาทำงานที่อุบล แล้วเห็นเขาทำเทียนกันก็สนใจ ตอนนี้ทำมาได้ประมาณ 2 ปีแล้วครับ ปีที่แล้วก็ทำประกวดนะ แต่ได้รองชนะเลิศประเภทแกะสลักขนาดใหญ่ ภูมิใจนะ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นงานที่ยาก แต่เราก็ทำได้ คือความยากผมว่ามันอยู่ที่การดูลาย เราต้องดูลายให้ออก แล้วค่อยลงมือแกะ ตอนนี้ผมก็ยังฝึกอยู่นะ ยังไม่ค่อยเป็นเท่าไร ก็ช่วยลอกลายต้นเทียน แต่ถ้าแกะสลักเลยต้องยกให้หัวหน้า เพราะว่ามันต้องใช้ความละเอียด ความปราณีต เราประสบการณ์น้อยก็คอยเป็นลูกมือไปก่อน"


แน่นอนว่า เมื่อสั่งสมประสบการณ์ได้ ถึงวันหนึ่งอรุณสวัสดิ์ก็อาจจะเติบโตขึ้นเป็นนายช่างใหญ่ที่นำเอาศิลปะนี้ไปเผยแพร่ในผืนดินถิ่นเกิดของเขาก็เป็นได้


สำหรับการประกวดเทียนพรรษาทุกวันนี้มีขบวนเทียนที่สวยงามแปลกตาไปจากเดิมมาก แต่พื้นฐานหลักๆ ของเรื่องราวที่นำเสนอจะต้องเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะเป็นพุทธประวัติตอนใดตอนหนึ่ง หรือคติธรรมสอนใจที่จะทำให้คนทั่วไปได้เข้าใจพุทธศาสนาผ่านขบวนแห่เทียนพรรษา แต่ถ้า "ขั้นเทพ" หน่อยก็อาจจะสอดแทรก "ปัญหา" เข้าไปในงานศิลปะ เพื่อสะท้อนภาพสังคม ณ ขณะนั้นด้วย


"ปีนี้เราทำตอนผจญมาร ตอนปราบมาร และตอนพิชิตมาร คือที่อยากทำเรื่องเกี่ยวกับมาร คงเป็นเพราะว่ามารมันเยอะมั้งปีนี้(หัวเราะ) คือในเมืองอุบลเรื่องเทียนมันพัฒนาไปแล้ว แต่ก็มาหยุดชะงัก และก็ด้อยลงไปเพราะมันมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว ถ้าพูดตรงๆ นะ มันก็เกี่ยวกับการเมืองตรงๆ ถ้าไม่มีการเมืองมันไม่เป็นแบบนี้หรอก มันไปไกลกว่านี้แล้ว


ถามว่าที่เราทำตอนนี้ไปแล้วชาวบ้านจะเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อมั้ย คือเราทำเสร็จชาวบ้านเขาจะรู้อยู่แล้วว่าตอนอะไร เพราะเราจัดเรียงภาพให้เข้าใจ ไม่มั่ว เพียงแต่ว่าชาวบ้านเขาจะมองลึกไปถึงเรื่องที่เราต้องการสื่อสารมั้ยก็แล้วแต่คน แต่กับทีมงานเราคุยกันว่า ปีนี้ทำตอนผจญมารเหอะ เพราะมารมันเยอะจริงๆ" สุคม เชาวฤทธิ์ หัวหน้าช่างเทียน วัดบูรพา เล่าพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะ


แม้ทุกวันนี้งานประเพณีแห่เทียนพรรษาดูคล้ายจะเป็น "สินค้า" มากกว่าจารีตนิยม แต่สำหรับคนทำเทียนแล้ว พวกเขามองว่า "สินค้า" ชิ้นนี้ยังมี "คุณค่า" อย่างน้อยๆ ก็ช่วยสืบทอดภูมิปัญญาของการทำเทียนให้คนรุ่นต่อไปได้รู้จัก