แพรวา Revolution

ย้อนเส้นทางสายไหม จากมรดกทางวัฒนธรรมภูไท สู่ดีไซน์นำสมัยภายใต้แบรนด์ "แพรวา"
ผืนผ้าสีม่วงที่ถูก "ขิดลาย" ปรากฏสลับสีสันรวม 60 เฉดสี นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความวิจิตรบรรจงของงานฝีมือชาวภูไทที่ถูกสืบทอดมาแล้ว "แพรวาลายดอกใบบุ่นอุ้มลายดอกพันมหา" ยังถือเป็นการเทิดพระเกียรติ "ทูลกระหม่อมแก้ว" เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษาอีกด้วย
"เหมือนเราทำผ้า 10 ผืนในผืนเดียวกันน่ะครับ" พงษ์ชยุตน์ โพทะนา ผู้นำกลุ่มทอผ้าแพรวาบ้านโพนและเจ้าของร้านแพรวากาฬสินธุ์เล่าด้วยสีหน้าแช่มชื่น เมื่ออธิบายถึงวิธีทอของทีมงานทั้ง 13 ชีวิต ใช้เวลา 2 เดือนกว่ารวมลายดอกของผ้าแพรวามาไว้ในการทอ และโทนสีที่นำมาใช้
"ไม่ใช่แค่ลายหลัก แม้แต่ดอกอ้อม (คั่นลาย) ก็เปลี่ยนสี ไม่เหมือนกันสักช่อง" เขาลงรายละเอียดเพื่อให้เห็นความพิถีพิถันบนผืนผ้าที่ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกลุ่มทอผ้าแพรวาบ้านโพน ทูลเกล้าถวายฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานประชุมสัมมนาสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา
การนำไหมมาต้มเพื่อร่อนกาวไหมก่อนจะนำไปย้อมสี แยกเส้น ไปจนถึงจังหวะหนักแน่นสม่ำเสมอบนกี่ทอที่กระชับไหมแต่ละเส้นเข้ากับตัวผืน ก่อนปรากฏเป็นลวดลายบนผ้า ทั้งหมดล้วนช่วยถักทอสายสัมพันธ์ระหว่างคนบ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ และถ่ายทอดภูมิปัญญาภูไทไม่ให้จางหายไปตามกาลเวลา
ถึงวันนี้ ผ้าไหมที่ประดิษฐ์ลวดลายด้วยการขิด และการจก ใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง รวมทั้งมีเส้นไหมเพิ่มพิเศษในการทำให้เกิดลวดลายประณีตตามกรรมวิธี ก็ยังคงอยู่คู่ชาวบ้านโพนรวมทั้งต่อยอด แบรนด์ "แพรวากาฬสินธุ์" ให้แตกแขนงออกไปไม่รู้จบ
ถักทอและถ่ายทอด
"ตัวผ้ามัดหมี่ที่เห็นทั่วไปในภาคอีสานเราจะสัมผัสลายได้เฉพาะการมอง แต่ไม่สามารถลูบคลำได้ ขณะที่ผ้าแพรวาตัวลายจะนูนขึ้นมา ดูมีมิติ สามารถสัมผัสลายได้" ผู้นำกลุ่มทอผ้าแพรวาบ้านโพนคนเดิมอธิบายถึงความพิเศษบนผืนผ้า
ด้วยความมีเอกลักษณ์ของผืนผ้าภูไท เมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือน อ.คำม่วง วันที่ 29 พฤศจิกายน 2520 จึงทรงโปรดรับงานทอผ้าแพรวาเข้าไว้ในโครงการศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์ และทรงโปรดให้มีการพัฒนาการทอผ้าไหมแพรวา จนทำให้ผ้าแพรวาเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไปในฐานะ "ราชินีแห่งไหม" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับชาวบ้านโพนเองมีความเชื่อว่า แพรวา เป็นผ้าชั้นสูง เป็นผ้ามงคล ผู้ใดมีไว้ครอบครอง หรือสวมใส่ก็จะเป็นมงคลต่อตนเอง โดยเป็นการสร้างสรรค์ศิลปหัตถกรรมที่สื่อสารกันระหว่างศิลปะกับสภาพแวดล้อมที่ผู้ทอคิดกรรมวิธีถ่ายทอดการทอสืบต่อมาจากบรรพบุรุษของแต่ละครอบครัว
ตามข้อมูลในหนังสือเรื่อง "แพรวา ราชินีแห่งไหม" ระบุว่า ลวดลายแพรวาจะดัดแปลงมาจากพืชพันธุ์ สัตว์ หรือดวงดาวออกมาตามจิตนาการเป็นความเชื่อว่าเมื่อทอออกมาแล้วผู้ครอบครองจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ตามลวดลายที่จัดทำขึ้น อาทิ ดอกพันมหา (ดอกไม้ใหญ่) ผู้สวมใส่จะรู้สึกสง่า อ่อนหวาน และมีความสุข อายุยืน ลายงูลอยน้ำ (ลายนาค) มีความหมายถึงน้ำ ความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ จะใช้สำหรับงานมงคล ผู้สวมใส่จะทำให้มีความรู้สึกน่าเคารพบูชา หรือลายขอ (ลายขอก่าย) ที่มีลักษณะเกี่ยวโยงกันคล้ายลูกโซ่ไม่รู้จบมีความหมายเป็นอมตะ ความเจริญอย่างไม่สิ้นสุด เป็นต้น
"ยายผมบอกแม่ว่าตั้งแต่ยายเกิดมาก็เห็นแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่ามันเริ่มต้นจะตรงไหนวันไหน" พงษ์ชยุตน์ ยืนยันถึงความผูกพันระหว่างคนกับผ้าที่ตกทอดมารุ่นสู่รุ่น และหากจะนับลายกันจริงๆ นอกจากลาย 60 ลายในหนังสือแล้ว ยังมีลายประจำตระกูลปลีกย่อยอีกนับไม่ถ้วน
"หมู่บ้านเราก็มีกว่า 40 นามสกุลที่มีรายละเอียดปลีกย่อยอยู่ในผ้าแซ่ว อีกทั้งยังมีการหยิบยืมกันภายในหมู่บ้านด้วย อย่าง ลายนาค ลายพันมหา ลายจันขิก ลายเบอบุ่น ก็สามารถนำมาผสมกันไปมานับไม่ถ้วนแล้ว" เขาบอก
ส่วนลักษณะการใช้งานแพรวานั้นอเนกประสงค์ไม่ต่างจากผ้าขาวม้า เพียงแต่แพรวาจะนิยมใช้ในงานมงคลต่างๆ เพราะถือเป็นเครื่องแสดงฐานะของครอบครัวในวงสังคม
อีกทั้ง การทอผ้าแพรวายังถือเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้สำหรับ "เลดี้บ้านโพน" ด้วย
"ผู้หญิงทุกคนที่บ้านโพนจะต้องทอผ้าแพรวา เป็นเพราะถือว่าแสดงให้เห็นความเป็นแม่ศรีเรือน" เขาบอก
เรื่องนี้คงไม่ได้เกินจริง เพราะ บุญเรือง ศรีบัว เล่าว่า ผู้หญิงบ้านนี้ทุกคนต้องผ่านนั่งกี่ทอผ้าตั้งแต่คำนำหน้ายังเป็น "เด็กหญิง"
"ช่วงปิดเทอม หรือหยุดเสาร์อาทิตย์ เด็กสาวก็จะมานั่งอยู่ข้างๆ ผู้ใหญ่คอยดูคอยหัด 14-15 นี่ต้องทอผ้าเป็นกันแล้วทุกคน" ที่เธอยกตัวอย่างยังรวมถึงกระบวนการย้อมไหม หรือแยกเส้นไหมสำหรับใช้ในการทอด้วย สำหรับตัวเองเธอยอมรับว่า ฝีมือการทออาจจะไม่ได้ถึงชั้นระดับมือวางของชุมชน แต่หากเป็นการมัด-ย้อมแล้วล่ะก็ สาวเรืองก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน
"ถนัดสุดก็เรื่องนี้แหละค่ะ" รอยยิ้มนั้นมาพร้อมคำยืนยัน
เปิดตลาดด้วยดีไซน์
นอกจากจะเป็นสายใยที่ถักทอความผูกพันแล้ว ผ้ามงคลผืนนี้ยังช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างเป็นกอบเป็นกำจากการรวมกลุ่ม ซึ่งในแต่ละเดือน ชาวบ้านโพนกว่า 1,100 ครัวเรือนสามารถสร้างรายได้จากการทอผ้าแพรวาส่งจำหน่าย
"เฉพาะผ่านกลุ่มก็ปีหนึ่ง 400-500 ผืน ราคาก็มีตั้งแต่ 7,000 - 20,000 บาท หรืออาจจะมากกว่านั้น ตามลายผ้า ขนาดผ้า" พงษ์ชยุตน์ยกตัวอย่าง
โดยสีดั้งเดิมของแพรวาจะมี สีแดง ยืนพื้น โดยจกสีอีก 4 สี คือ ขาว เขียว กรมท่า เหลือง ซึ่งเนื้อสีจะมีเฉดอะไรก็แล้วแต่ จะอยู่ในโทนนี้ทั้งนั้น
ภายในบ้านโพนจะมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น งานโอทอป งานออกร้านของกระทรวงพาณิชย์ หรือบางกลุ่มที่มีลูกค้ามาซื้อไปทำตลาดเอง ซึ่งจะมีกำหนดรับ-ส่งผ้าช้าหรือเร็วตามแต่ความละเอียดของลายที่ปรากฏบนชิ้นงาน
"บางผืนอาจจะ 3 อาทิตย์ บางผืนอาจจะเป็นปี" เขาตอบ
นอกจากลายผ้าโบราณตามขนบ เนื้อผ้าดีไซน์ใหม่ก็เป็นที่ต้องการของตลาดไม่แพ้กัน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวตัวพงษ์ชยุตน์เริ่มคิดมาตั้งแต่ปี 2540
"เกิดมาเราก็เห็นผ้าน่ะ มันก็มีคำถามส่วนตัว ลายแพรวามันเป็นได้แค่นี้หรือเปล่า"
หลังจากทดลองสเก็ตช์แบบออกมาเป็นลวดลายต่างๆ ที่อยากเห็น จนไปถามช่างทอแล้วได้คำตอบว่า อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ช่วงแรกเขาก็เห็นด้วยจนกระทั่งทดลอง "บังคับ" ให้สมาชิกลองขึ้นลายใหม่ดู และกลายเป็นต้นทุนอันมีค่าของกลุ่มมาจนทุกวันนี้
"ลายผ้าไทยในประเทศไทยจะเป็นลายเรขาคณิต สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม แต่มันจะเล็กบ้างใหญ่บ้าง ซ้อนกันบ้าง ตะแคงบ้าง หงายบ้าง ครอบกันไปมา เกี่ยวกันไปมา แต่ไม่เคยมีลายผ้าไทยที่เป็นความโค้ง ความพลิ้ว ความอ่อนช้อย เหมือนเราใช้ดินสอ หรือปากกาวาดแล้วตวัดตามความคิดของเราในกระดาษ ก็ทดลองมาเรื่อย จนปี 2546 จึงได้ผืนแรก"
นอกจากลายจะใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มูลค่าของแพววาก็เพิ่มขึ้นทันตาเห็น เมื่อประสบความสำเร็จเขาจึงเริ่มย้อนกลับไป "รื้อ" ของเก่าเอามา "เล่น" ใหม่
"สิ่งที่พยายามทำก็คือ นำลายโบราณที่เขาทำต่อกันมานำมาปรับ สีบ้าง ลายบ้าง สมมติ ลาย ก. 45 ไม้ เราก็มาลองลดเหลือ 15 ไม้ เพราะคำถามที่ว่า ทำไมจะต้องตามกันโดยที่ไม่มีใครบอกว่านี่คือผิด นี่คือถูก หลังจากทำไปได้สักพัก ผมก็ค้นพบว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้คือ ไม่ใช่ลายที่เปลี่ยนยาก แต่เปลี่ยนความคิดคนยากกว่า เพราะไม่เคยทำ ทั้งๆ ที่ทุกคนทำได้ ซึ่งผลที่ออกมา ตลาดก็ตอบรับด้วย ดีเกินคิด เพราะแบรนด์เราติดตลาดอยู่แล้วส่วนหนึ่ง และโชคดีตรงที่ทำแล้วมีคนรอซื้อ"
แม้ว่า ลายใหม่อย่าง ลายกะจ๋อน ที่ได้แบบมาจากต่างหูโบราณของแม่ ลายช่อหยาด หรือลายคั่นไม้คาน จะไม่ได้ถูกนำมาบรรจุลงในผืนผ้าที่ทอถวายฯ แต่การลงรายละเอียดกับตัวดอก และกลุ่มลายก็ถือเป็นส่วนผสมของโบราณกับงานดีไซน์เอาไว้ชัดเจน
"ปกติแพรวาทุกช่องจะเหมือนกันหมดทั้งสีทั้งลาย จะเป็นผ้าขนาดไหนก็แล้วแต่มันจะเหมือนกันหมดเลย แต่ผืนนี้จะแยกเป็นกลุ่มสี 7 สีบ้าง 8 สีบ้าง 9 สีบ้าง สลับลายกันไป" ผู้นำกลุ่มทอผ้าแพรวาเล่า
GI เพิ่มมูลค่า
ถ้าถาม เพ็ง ภูจันหา หนึ่งในมือทอติดอันดับมือวางของบ้านโพนถึงพรุ่งนี้ของลายผ้า เธอให้คำตอบได้ทันทีว่า ก็คงจะขึ้นอยู่กับตัวคนรุ่นใหม่ที่จะมารับช่วงต่อ เหมือนอย่างลูกสาวทั้ง 2 คนของครอบครัวเธอ วันนี้คนหนึ่งใกล้จบปริญญาตรี อีกคนอยู่ชั้น ม.5 และทอผ้าเป็นเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะหันมาเอาดีบนกี่ทอผ้าเหมือนคนรุ่นแม่
"ก็คงแล้วแต่เขานั่นแหละ" เธอยอมรับ
ส่วนหนึ่งที่ทำให้กี่ผ้าใต้ถุนบ้านแต่ละคนยังไม่ต้องปัดฝุ่น นั่นก็เพราะผืนผ้ากับวิถีชีวิตคนบ้านโพนถูกหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว เมื่อว่างเว้นจากเรือกสวนไร่นา ผู้ชายจะตัดฟืนต้มผ้า ผู้หญิงจะนั่งสะบัดไม้เรียงผืนอย่างนี้โดยตลอด
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้จะต้องสูญหายไปกับกาลเวลา เมื่อโอกาสยังเปิด ตลาดยังรับซื้อ แพรวาก็มีทางไป
"อย่างที่เขาสั่งซื้อแล้วนำไปวางขายต่อต่างประเทศเท่าที่ได้ยินมาก็มีทั้ง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสอีก 2-3 ที่" เพียงแต่ว่ายังไม่ได้มีแนวคิดลุกขึ้นมาทำตลาดต่างประเทศอย่างจริงจังเท่านั้น
หรือกระทั่งการขึ้นทะเบียน "สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์" หรือ Geographical Indication : GI ที่เป็นเหมือนการันตีคุณภาพ ความโดดเด่นเฉพาะพื้นที่ ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งตรงนี้ ปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ขยายความถึงข้อดีของการขึ้นทะเบียนนี้ว่าสามารถช่วยหนุนเสริมธุรกิจชุมชนได้เป็นอย่างดี
"สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ถือเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียง การคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์จะป้องกันผู้ผลิตสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์จากการถูกเอาเปรียบจากผู้ค้ารายอื่นอย่างไม่เป็นธรรม เช่น จากการฉกฉวยหรือนำเอาชื่อเสียงของสินค้าชุมชนไปแอบอ้างถึงแหล่งผลิตสินค้าโดยมิชอบ หรือการลอกเลียนแบบ อีกทั้งยังสามารถใช้ในการเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้ผู้ผลิตในชุมชนให้กับตลาดได้อีกด้วย" เธอบอก
นอกจากนั้น สัญลักษณ์ GI นี้ยังจะช่วยสร้างมาตรฐานให้กับตัวสินค้า ในกรณีนี้ก็คือ ผ้าแพรวา ให้ผู้ซื้อวางใจในคุณภาพอีกด้วย
"เหมือนที่เราดูความปราณีตของผ้าได้จากด้านหลังผ้า ซึ่งถ้าเป็นผ้าที่มีความละเอียดจริงๆ นั้น จะไม่มีการโยงไหมข้ามลายกัน แต่จะใช้วิธีเก็บมัดในแต่ละลายไป ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ด้านหน้าลายผ้าอาจจะเหมือนแต่เมื่อมองด้านหลังจะเห็นความแตกต่าง แล้วจะเข้าใจว่าทำไมบางครั้ง ผ้าลายคล้ายกันแต่ราคาเทียบกันไม่ได้ ตรงนี้ต้องดูให้ลึก" พงษ์ชยุตน์อธิบายเพิ่มเติม
คู่ขนานกับขั้นตอนที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ ภูไทสาวรุ่นกำลังหัวร่อต่อกระซิกกันระหว่างชั้นเรียนผ้าผืนแรกในชีวิต เพื่อจะได้ชื่อเป็นสุภาพสตรีบ้านโพนเต็มตัว และเป็นวงจรสืบทอดต่อไปไม่รู้จบ







