คาเรน ม็อก จากเพลงจีนสู่เพลงแจ๊ส

คาเรน ม็อก จากเพลงจีนสู่เพลงแจ๊ส

อนันต์ ลือประดิษฐ์ สนทนากับนักร้องนักแสดงสาวชื่อดัง ณ โรงแรม Fairmont Peace Hotel ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้

นักแสดง และนักร้องที่มีชื่อเสียงชาวฮ่องกง คาเรน ม็อก (Karen Mok) ในวัย 42 ปี ก้าวสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้งในชีวิต ด้วยการออกผลงานเพลงร้องภาษาอังกฤษ Somewhere I Belong นำเสนอในสไตล์แจ๊ส ภายในอัลบั้มประกอบด้วยเพลงสแตนดาร์ด เพลงป๊อป และเพลงจีนร่วมสมัย โดยบันทึกเสียงกัน ณ สตูดิโอในนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อร่วมย้อนวันเวลาดีๆ ในช่วงทศวรรษ 1930-40s ของมหานครแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ปารีสตะวันออก"


'ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค' ต้นสังกัดของ คาเรน ตัดสินใจจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้มชุดนี้ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมคิวสัมภาษณ์ คาเรน ม็อก อย่างยาวเหยียวโดยกองทัพสื่อจากทั่วโลก


และนี่คือช่วงเวลา 20 นาที ที่ตัวแทนสื่อมวลชนจากประเทศไทย มีโอกาสได้นั่งสนทนากับเธออย่างใกล้ชิด

ทราบว่าคุณเคยมาเยือนเมืองไทย ?


ใช่ค่ะ 2-3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ไป คือไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Coffin ของผู้กำกับ เอกชัย เอื้อครองธรรม ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลย

แล้วอาหารไทยเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับอาหารฮ่องกง


ฉันชอบอาหารไทยมาก ซึ่งจริงๆ แล้ว คนฮ่องกงส่วนมากก็ชอบอาหารไทยเหมือนกัน และรสชาติของอาหารที่นั่น กับที่นี่ก็ค่อนข้างจะคล้ายๆ กัน

พูดถึงผลงานใหม่ คุณชอบแจ๊สหรือหลงเสน่ห์เพลงแจ๊สได้อย่างไร


ฉันหลงใหลเพลงแจ๊สมาตั้งแต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยในลอนดอนแล้วล่ะค่ะ ช่วงเวลานั้น ฉันค่อนข้าง ว้าว ! กับสิ่งที่ได้ฟังมากๆ ซึ่งซีดีแรกที่ได้ฟังคือ Ella Fitzgerald & Louis Armstrong ซึ่งทั้งคู่ทำงานดูเอ็ทกันหลายชุด ยอดเยี่ยมมากๆ นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็น Billie Holiday, Sarah Vaughan หรือทั้งหมดที่เป็น 'ดีว่า' ในสมัยนั้น และนั่นทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องเพลงแบบนั้นให้ได้ ร้องด้วยหัวใจ และนั่นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับฉัน เมื่อฉันก้าวมาเป็นนักร้อง

คุณฟังผลงานเพลงร้องคลาสสิกดีๆ จากศิลปินรุ่นใหญ่ แล้วคุณมีวิธีเข้าถึงผลงานเหล่านี้อย่างไร


สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเสียงร้องของนักร้องเหล่านี้ คล้ายเป็นเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่ง นอกจากนั้น จุดเด่นของแจ๊สคือ มันไม่มีขอบเขต ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น Vocal , Instrumental, หรือ Big Band ก็มีพื้นฐานแนวความคิดเดียวกัน ซึ่งเป็นการแสดงออกตัวตนอย่างแท้จริง นอกจากนั้นแจ๊สยังสามารถข้ามขอบเขตเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างอีกด้วย เราจึงมีหมู่คนที่รักเพลงแจ๊สอยู่ทั่วโลก

คุณรู้สึกอย่างไรเวลาร้อง “สแก็ท” ซึ่งคุณเองก็ร้องอยู่บ้างในผลงานชุดนี้


ใช่ ค่ะ แต่นิดหน่อยนะ ฉันว่ามันควรเป็นธรรมชาติมากกว่า ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ หากมันเหมือนการพยายามโชว์ออฟ นักร้องที่ดีย่อมมีเสียงที่ดี และเทคนิคที่ดี แต่ไม่ใช่การพยายามโชว์เทคนิค มันควรมาจากความรู้สึกข้างในมากกว่า

มีบางคนบอกว่า แจ๊สซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ คุณคิดอย่างไรกับคำกล่าวนี้


ฉันก็ว่าซับซ้อนนะ (หัวเราะ) อย่างไรก็ดี คนที่บอกว่าแจ๊สนั้นซับซ้อนหรือลึกซึ้งนั้น น่าจะเนื่องจากพวกเขาไม่มีโอกาสเข้าถึงเพลงแจ๊สมากกว่า แต่เมื่อคุณมีโอกาสได้ลองฟังอย่างจริงจัง ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งชอบมากเท่านั้น

เนื่องจากแจ๊สมีพัฒนาการมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ Swing, Bebop ฯลฯ คุณคิดว่าคนฟังแจ๊สควรจะต้องมีความรู้ หรือเตรียมตัวเพื่อที่จะฟังรึเปล่า?


ฉันคิดว่า..... (นิ่งคิด) ถ้าคุณฟังอย่างจริงจัง ก็คงต้องศึกษา เพราะแจ๊สมีหลากหลายสไตล์ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่น่าสนใจ อย่างก็ดี การที่ได้ฟังการหลอมรวมสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน หรือวัฒนธรรมต่างๆ ได้มาเจอกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน แล้วเกิดเป็นสิ่งใหม่ๆ นั้น เป็นเรื่องน่าทึ่งจริงๆ ซึ่งทำให้ดนตรีมีการพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ซึ่งหลักการนี้ก็คล้ายๆ กับการทำงานของผลงานชุดนี้ คือการดึงความเป็นตัวตนของเราออกมา รวมไปถึงความเป็นตัวตนของนักดนตรีเองด้วย เราไม่ต้องการแค่ก็อปปี้เพลงจากตะวันตกมาแล้วทำตาม ซึ่งมันไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้น และนี่คือแนวทางการทำงานของผลงานชุดนี้ของเรา

ในฐานะที่คุณเป็นนักร้อง คุณหาเสียงร้องหรือแนวทางของคุณได้อย่างไร


ฉันก็แค่ชอบที่จะร้องนะสิ (หัวเราะ) ฉันชอบการร้องเพลงและเต้นต่อหน้าผู้คนมาตั้งแต่ฉันยังเด็กๆ แล้ว อายุสัก 3 ขวบ ฉันก็ตัดสินใจที่จะเป็นนักแสดงตั้งแต่นั้นมา

ปัจจุบันคุณยังฝึกฝนอยู่รึเปล่า


ฉันฝึกตอนอาบน้ำ เหมือนกับคนอื่นๆ (หัวเราะ) ฉันได้รับการฝึกฝนการร้องแบบคลาสสิกมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน แน่นอนว่าการร้องแต่ละแนวเพลงย่อมแตกต่างกัน แต่พื้นฐานการฝึกครั้งนั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับฉันทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันสามารถหาสไตล์ของตัวฉันเองเจอเช่นกัน ยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ ฉันได้ฟังเพลงโอเปร่าเยอะขึ้น การร้อง การแสดงออกของโอเปร่านั้น มีประโยชน์มาก แม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้เทคนิคการร้องโอเปร่ามาร้องเพลงป๊อปหรือแจ๊สก็เถอะ แต่สิ่งที่ได้จะเป็นเรื่องของการหายใจ การออกแบบเสียงร้อง ซึ่งไม่แน่วันหนึ่งฉันอาจจะออกผลงานที่เป็นโซปราโนโอเปร่าก็ได้ (หัวเราะ)

โดยปกติ การเล่นแจ๊สแต่ละครั้งไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง สำหรับคุณ การที่ต้องร้องเพลงเดิมซ้ำหลายๆ ครั้งนั้น คุณนำเสนอเพลงเหล่านั้นให้สดใหม่ต่อหน้าคนฟังอย่างไร


ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากในการที่จะร้องให้แตกต่างออกไปทุกครั้ง ฉันจึงชอบการแสดงสดมาก ไม่มีการแสดงสดที่จะเหมือนกันเป๊ะๆ ทุกครั้ง แม้ว่าเพลงนั้นคุณจะร้องมาแล้วเป็นร้อยครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็มักจะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ การที่เราต้องสื่อสารกับคนดู และผู้ชมก็มีพลังงานบางอย่างเหมือนกัน และเป็นสิ่งที่จุดประกายบางอย่าง ให้ฉันสามารถร้องต่างออกไป อารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกก็จะต่างกันออกไปเช่นกัน


เมื่อเชื่อมโยงมาที่การทำงานผลงานชุดนี้ เราบันทึกเสียงจากการเล่นดนตรีกันสดๆ คล้ายกับการแสดงสดจริงๆ ซึ่งทำให้พวกเรากระตือรือร้นกันมาก และอารมณ์นั้นยอดเยี่ยมมาก

เมื่อต้องแจมกันสดๆ ในการบันทึกเสียง คงต้องทำกันหลายเทคทีเดียว ?


มีเหมือนกัน อย่างมากที่สุดน่าจะ 3 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับดนตรีแจ๊ส บางครั้งที่คุณทำไม่ได้ คุณจะไม่สามารถลองทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรอก ดั่งกับว่ามนต์วิเศษ (The Magic Touch) ได้หายไปแล้ว

จากชื่อผลงานล่าสุด Somewhere I Belong ที่มาของที่ๆ นั้นเป็นอย่างไร คือที่ไหน ? จริงๆ แล้วผมเห็นจากปกอัลบั้ม คุณเขียนถึงภาวะการเป็นตัวตนของคุณ ?


จริงๆ แล้ว น่าจะมาจากกลอนบทนั้น (หัวเราะ) ที่ฉันเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2005 เมื่อครั้งที่ฉันออกหนังสือรวมภาพถ่ายต่างๆ ในนั้นมีรูปมากมาย และมีกลอนที่เขียนไว้ ซึ่งฉันก็ลืมไปแล้วว่าเคยเขียนไว้ จนเมื่อการทำงานผลงานนี้เสร็จเรียบร้อย และกำลังตั้งชื่อกันอยู่ บางคนยกกลอนนี้ Somewhere I Belong ซึ่งนั่นแหละใช่เลย (หัวเราะ) จริงๆ แล้วเป็นคำถามที่ฉันตอบไม่ได้จริงๆ ซึ่งมันก็ไม่สำคัญหรอกว่า ฉันจะมาจากไหนก็ตาม อยู่อย่างไร หรือจะไปไหน จริงๆ แล้วมันเป็นภาวะของความรู้สึกสบาย ความเป็นตัวของตัวเองที่ไร้ขอบเขต การแสดงออก สำหรับฉัน นั่นคือเวลาที่ฉันแสดงสด

ผลงานชุดนี้ถือเป็นอีกก้าวของการเป็นนักร้องแจ๊ส อะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณพยายามจะสื่อสารออกมา


คงต้องย้อนหลังกลับไปสมัยที่ฉันยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ฉันเคยฝันที่จะเป็นนักร้องเพลงแจ๊สอยู่เหมือนกัน และถึงที่สุดแล้ว ความฝันนั้นก็เป็นความจริงจนได้ แล้วสิ่งที่น่ายินดีคือ ฉันสามารถสื่อสารสิ่งที่ต้องการผ่านการแสดงและเสียงดนตรีได้ แล้วยิ่งเป็นเพลงแจ๊สที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงด้วยแล้ว อีกทั้งประกอบกับภาษาอังกฤษซึ่งถือเป็นสื่อกลางที่สามารถใช้สื่อสารได้กว้างขวางยิ่งขึ้น และฉันหวังว่า ผลงานนี้จะสามารถขยายกลุ่มคนฟังได้กว้างขึ้น

ในการเลือกเพลง คุณเลือกจากเพลงที่คุณชื่นชอบเป็นส่วนตัว หรือมีข้อกำหนดอื่นใดในการเลือกเพลง


ฉันมีเพลงที่ชอบเยอะมาก (หัวเราะ) และฉันก็หวังที่ฉันจะสามารถนำเพลงเหล่านั้นมาตีความใหม่ได้ แต่อย่างว่าฉันสามารถเลือกได้แค่ 10-12 เพลงเท่านั้น ซึ่งฉันก็พยายามจะให้เป็นส่วนผสมโดยรวมที่ดี นอกจากเพลงสแตนดาร์ดแจ๊สแล้ว ฉันพยายามเลือกเพลงสมัยใหม่ ที่เป็นแนวคลาสสิกป๊อป ด้วยเนื่องจากว่าฉันมาจากวงการเพลงป๊อปนั่นเอง นั่นก็ดูมีเหตุผลดี นอกไปจากนี้แล้ว ยังมีกู่เจิงด้วย (หัวเราะ) ใช่มั้ยล่ะ มันเป็นเครื่องดนตรีที่เสียงไพเราะมาก นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราเลือกกู่เจิง เพราะเราต้องการสื่อความเป็นตัวตนของเราเอง โดยใช้เสียงของเครื่องดนตรีจีนเข้ามาช่วย ดังนั้น การเลือกเพลงของเรา จึงมีข้อจำกัดให้กู่เจิงสามารถเข้าด้วยได้ นั่นทำให้ฉันนึกถึง เพลง While my guitar gently weeps ของ The Beatles โดยการโซโลกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมมากของ Eric Clapton ซึ่งทำให้ฉันนึกอยากใช้กู่เจิงดู ทำให้เป็น My guzheng gently weeps (หัวเราะ)

บางเพลงของ Billie Holiday อย่าง Stormy Weather และ A Fine Romance ยากมั้ยในการถ่ายทอดความเป็นตัวตนของคุณออกมา เมื่อด้านหนึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของ Billie Holiday ?


ฉันชอบ และรักที่จะร้องเพลงเหล่านี้ ภายใต้การพยายามที่จะตีความใหม่เสมอๆ ในแนวทางของฉัน โดยเฉพาะ 2 เพลงนี้ ที่มักจะถูกนำมาทำใหม่เสมอๆ โดยศิลปินหลากหลายท่านตลอดเวลา เทคนิคก็คือ คุณต้องไม่คิดว่า นักร้องดีว่าเหล่านี้ร้องกันยังไง คุณต้องเปิดใจและรับมัน เหมือนว่าเป็นเพลงใหม่ แต่ก็ใช้อารมณ์ความรู้สึกที่มันกระทบคุณสร้างมันออกมา

คำถามสุดท้ายจากแฟนๆ คนไทย ทั้งแฟนหนัง แฟนเพลงของคุณ คุณมีแผนการที่จะไปแสดงคอนเสิร์ตที่นั่นมั้ย


ฉันแทบรอไม่ไหวแล้วล่ะ ที่จะไปเมืองไทย (หัวเราะ) โดยเฉพาะการไปครั้งนี้ที่ฉันต้องเปลี่ยนบทบาทตัวเองมาเป็นนักร้อง และหวังว่ามีแฟนเพลงแจ๊สที่เมืองไทยมากๆ ที่เราจะสามารถไปร่วมแบ่งปันประสบการณ์ด้วยกันได้.