ยก โอเปร่า มา รัชดาลัย

ละครเพลงที่ถูกผลิตซ้ำมาตลอด 27 ปี คนไทยจะชอบหรือปลื้มปริ่มอารมณ์ เช่นเดียวกับผู้นำเข้าหรือไม่นั้น คงต้องรอการพิสูจน์
ถกลเกียรติ วีรวรรณ หรือ คุณบอย ผู้สร้างโรงละครรัชดาลัย เธียเตอร์ เมื่อ 5 ปีก่อน เป็นหนึ่งในผู้ตกอยู่ในมนตร์เสน่ห์ของ The Phantom และได้ขยับใกล้ความฝัน ที่จะนำละครเพลงเรื่องนี้ มาสู่สายตาผู้ชมชาวไทย แต่คนไทยจะชอบหรือปลื้มปริ่มอารมณ์ เช่นเดียวกับผู้นำเข้าหรือไม่นั้น คงต้องรอการพิสูจน์หลังการเปิดรอบแสดง
ซีนนาริโอและบีอีซีเทโร เอนเตอร์เทนเมนท์ ได้รวมทีมกันเป็น บริษัท บีอีซี-เทโร ซีนเนริโอ ว่าจ้างละครเพลงเรื่องนี้มาเปิดการแสดงที่โรงละครเมืองไทย รัชดาลัย เธียเตอร์ และก่อนถึงวันเปิดการแสดงพวกเขาได้พาสื่อมวลชนไปบุกหลังโรงละคร ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ซึ่ง The Phantom กำลังเปิดการแสดงครั้งล่าสุด ในเดือนมกราคมนี้
ย้อนไปกว่าสองทศวรรษก่อน เซอร์ แอนดรูว์ ลอยด์ เวบเบอร์ ได้แต่งเพลงแต่งดนตรีและดำเนินเรื่องละครเพลง จากโครงเรื่องและตัวละครย้อนยุคศตวรรษที่ 19 ในวรรณกรรมฝรั่งเศสพิมพ์ครั้งแรกปี 1911 และพลังของดนตรีที่ก้องกังวาน สั่น "สะเทือนอารมณ์" ให้ผู้เสพเสียงและชมการแสดง มาจนถึงปัจจุบัน
จากการแสดงนับพันๆ รอบ ทั้งในโรงละครบรอดเวย์ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเวสต์เอนด์ อังกฤษ ละครเพลง The Phantom of the Opera กลายเป็น มรดกทางวัฒนธรรม จากฝั่งตะวันตก ที่เคลื่อนย้ายไปสร้างความสะเทือนขวัญ (อิ่มใจ)ไปทั่วทุกมุมโลก
หลังจาก Phantom สร้างชื่อในเวทีละคร จนถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เพลงโดยฮอลลีวู้ดในปี 2004 กำกับโดย โจล ชูเมคเกอร์ และเคยมาเปิดฉายรอบพรีเมียร์ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ด้วยแล้ว เพลงจากละครเพลงเรื่องนี้ยังเป็นเพลงฮิตอมตะนิรันดร์กาลในยุคสมัยของป๊อปปูลาร์ มิวสิค ศตวรรษที่ 20 และทำให้นักร้องสาว ซาราห์ ไบรท์แมน ยังคงเป็นศิลปินงานชุกที่สุดคนหนึ่ง นับจากเธอก้าวลงจากเวทีบรอดเวย์ ผันตัวจากนางเอกละครเพลงรุ่นบุกเบิกของเรื่องนี้ มาเป็นศิลปินเดี่ยวในแนวครอสโอเวอร์และนิวเอจ เสียงโซปราโนของเธอขับขานเพลงจากละครเรื่องนี้ในทุกเวทีที่ไปแสดง
และมันกลายเป็นละครเพลงที่ถูกผลิตซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงขั้นเป็นจุดขายนักท่องเที่ยวที่บรอดเวย์ นิวยอร์ค เวสต์เอนด์ อังกฤษ และเป็นละครเดินสายไปทั่วโลก ในเวอร์ชั่นอินเตอร์เนชั่นแนล ทัวร์
หลังฉาก The Phantom
ความสำเร็จของ The Phantom of the Opera มาจากงานสร้างฉากที่ไม่เน้นความใหญ่โต แต่เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดและมหัศจรรย์ดุจมายากล ผสมผสานกับเทคนิคการร้องที่นักแสดงนำ ต้องใช้เทคนิคร้องโอเปร่าและมีเนื้อเสียงเทเนอร์ และโซปราโนถ่ายทอดเพลงดนตรีที่เขียนไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
ดังที่ แบรด ลิตเทิ่ล พระเอกละครบรอดเวย์ ผู้สวมบท Phantom ในฉบับอินตอร์เนขั่นแนล ทัวร์ ที่จะมาเมืองไทย พยายามอธิบายว่า "โปรเกรสชั่นของคอร์ด ที่แสนอัศจรรย์ (ฮัมเพลง) ต่าน ตาน ต๊าน ต่าน ในเพลงชื่อ The Phantom of the Opera นั้น มันเป็นกระตุ้นอดรีนาลีนหลั่งในทันทีทันใด" และยังเป็นเหตุผลที่ลิตเทิ่ล ยังสามารถแสดงบทบาทละครร้องสดบทนี้ได้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
"The power of the music of the night" ท่อนสุดท้ายของเพลง Music of the Night ร่ายมนตร์สู่ผู้ชมอย่างตรงตัวสำหรับละครเพลงที่เป็นตำนาน ยังมีลมหายใจของผู้ประพันธ์ แอนดรูว์ ลอยด์ เวบเบอร์ 27 ปี นับจากครั้งแรกที่เปิดการแสดง ณ โรงละครเวสต์เอนด์ของอังกฤษ และพิสูจน์ "พลังของดนตรี" จากมุมมืดใต้โรงละครโอเปร่าปารีสตามเนื้อเรื่องเด็กกำพร้าหน้าผีที่ต้องสวมหน้ากากบดบังร่องรอยอัปลักษณ์ ผู้เติบโตขึ้นมาเป็นนักแต่งเพลง และหลงรักนางเอกสาวแห่งโรงละครแห่งนั้น จนเขาได้ฉายาว่าเป็นผีแห่งโรงละคร หลอกหลอนผู้คน และสั่นคลอนความเป็นมนุษย์ในโศกนาฏกรรมรักสามเส้า
และในความพยายามอธิบายของ ผู้กำกับฉบับออนทัวร์ ไรเนอร์ ฟรีด (Rainer Fried)ผู้สั่งสมประสบการณ์กับการทำงานให้กับ ฮาโรลด์ ปรินซ์ ผู้กำกับต้นฉบับบรอดเวย์ ที่บอกว่า
"ผมไม่รู้จริงๆ ผมถูกตั้งคำถาม(ว่าทำไมละครเพลงเรื่องนี้โดนใจผู้ชม)บ่อยมาก ถ้าผมตอบได้ ผมก็คงรวยแล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่ผมมีทฤษฎีส่วนตัวว่า มันคงเป็นพลังของดนตรี(score)มั้ง งานดนตรีที่ถูกแต่งขึ้นได้ไพเราะมากเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว และคงเป็นเรื่องของฉากที่โดดเด่นและสุดยอดมาก จากการออกแบบของ มาเรีย บียอนซัน(Maria Bjornson) ผมมองดูทุกวันยังชื่นชมความสุดยอดของเธอเสมอ และเรื่องของภาพที่ปรากฎบนเวที มันสะกดคนได้ และสำคัญที่สุดน่าจะเป็นเนื้อหา เรื่องรักๆ ที่ทำให้ผู้ชมยังดูได้ และหลายคนกลับมาดูซ้ำหลายๆ รอบ มันกินใจสะเทือนอารมณ์"
ขณะที่ บอย ถกลเกียรติ เชื่อมั่นในพลังเพลงฮิตที่มีหลายเพลงจากละครเรื่องนี้ ต่างจาก Cats ละครบรอดเวย์ที่ซีนเนริโอเคยนำเข้ามาแสดง มีเพลงฮิต Memory เพลงเดียว
“เราเริ่มจากเอาเรื่อง CATS เข้ามาเมื่อปี 2007 และมันเป็นงานบริษัทเดียวกัน( Cameron Mackintosh's and ) จึงมีการพูดคุยกันเรื่อยมา ว่ามีสิทธิจะนำละคร Phantom เข้ามาไหม มันเป็นความฝันมากฮะ CATS ก็ฝัน แต่มันเป็นเพลง Memory เพลงเดียว แต่ Phantom นี่มันเป็นทั้งเรื่อง และเรื่องราคาคือ Phantom แพงกว่า Cats เป็น 2-3 เท่า และเงื่อนไขคือ Cats แสดงได้ 3 อาทิตย์ แต่ Phantom เขาระบุว่าเลยว่าอย่างน้อยต้องเปิดแสดง 4 สัปดาห์ และคิดว่าคนไทยรู้จัก Phantom รู้จักเยอะกว่า Cats อยู่แล้ว เราก็คุยๆ และคิดว่า ขอแบบ(เล่นรอบ)ที่ได้น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ เราก็สู้(ราคา)ละกัน” ผู้บริหารซีนาริโอ อธิบาย
ถอยออกมาจาก ความรุ่งโรจน์เบื้องหน้า มองเบื้องหลังของงานสร้าง ก็เห็นเปลวโชติช่วงด้วยไฟทำงานไม่แพ้กัน
กลับเข้าไปทางประตูหลังเวที ผ่านด่าน "ห้องแต่งตัว" ที่เก็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทุกชุดของนักแสดงทั้งมวลในละครเรื่องนี้ ผู้จัดการฝ่ายเสื้อผ้า ได้อธิบายถึง หลักการและความพิถีพิถัน ที่ต้องจัดสรรเสื้อผ้า ตาม "พิมพ์เขียว"เดิม ที่ทีมงานสร้างได้ริเริ่มไว้เมื่อ 27 ปีก่อนทุกประการ
และแน่นอน เรื่องราวที่อิงจากเรื่องราวศตวรรษที่ 19 (กาสตง เลอรูซ์ ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้บอกว่า มีเหตุการณ์แชนเดอเลียร์ตกที่โรงโอเปร่าปารีสในปี 1896) เสื้อผ้าจึงย้อนยุคไปในสมัยนั้นด้วย และมูลค่าเพิ่มของเสื้อผ้าละครเพลงเรื่องนี้ ก็มีในผืนผ้าวินเทจ จากยุคสมัยนั้นจริงๆ ผสมผสานการใช้แรงงานของ "ช่าง" ปักผ้าประดับเม็ดเพชรพลอยและหินต่างๆ รวมถึงการเตรียมพร้อมสำหรับนักแสดง ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละรอบของการเดินสาย และการที่ต้องมีทีม "ซ่อมแซม" เสื้อผ้า ระหว่างรอบการแสดง ที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุกระดุมหลุด เพชรหล่น จนถึงความเร่งรีบในการเปลี่ยนชุดของตัวละครหลักที่จะเร่งให้ตรงคิวการออกฉากหน้าเวที ในหน่วยเสื้อผ้าอย่างเดียว The Phantom จึงใช้แรงคน ถึง 32 คน
และในการเดินสายทัวร์ต่างประเทศ การจะหอบหิ้วช่างมาทั้งหมดอาจจะไม่สะดวกนัก งานส่วนเสื้อผ้าหรือคอสตูม จึงเป็น (หลัง)เวทีที่โปรดักชั่นนี้ คิดว่าเป็นการเชื่อมต่อประสานงานกับ "คนท้องถิ่น" แบบใกล้ชิด
ทีมงานท้องถิ่น
งานสร้างที่ถกลเกียรติเลี่ยงที่จะตอบตัวเลข (รายจ่าย)ในการนำเข้าโปรดักชั่นนี้ โปรดักชั่นที่ "อิมพอร์ตทุกอย่าง" แม้กระทั่งแผ่นดีบุกบนพื้นเวที อุปกรณ์ประกอบฉาก ตั้งแต่เชิงเทียน โคมไฟระย้า (แชนเดอร์เลีย) เรือแจวของแฟนธอม จนถึงขนนกทุกเส้นที่ปักบนเสื้อผ้าของนักแสดง "บอกได้แค่ว่าสูงมาก" ถกลเกียรติบอก (ข้อมูลจากเอกสารของบีอีซีเทโรซีนเนริโอ มีระบุต้นทุนโปรดักชั่นละครเรื่องที่เปิดแสดงในปี 2006 ณ เวเนเชี่ยน รีสอร์ท โฮเตล ลาสเวกัส ระบุว่าสูงถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
และจะเป็นงานสร้างที่ต้องอาศัยทีมงานนับร้อย แต่มีบางส่วนที่จะใช้บริการ "คนท้องถิ่น" ในทีมโปรดักชั่น ยกเว้นในส่วนของนักแสดงทั้งหมดบนเวที ไม่ว่าจะเป็นตัวแสดงหลัก (Main Cast) และ นักแสดงหมู่มวล (Ensemble cast)
สำหรับ The Phantom ชุดนี้เช่นกัน ทางผู้สร้างได้เตรียมการสรรหา "ฝ่ายคอสตูมชายไทย" ที่ต้องมีฝีมือ มีประสบการณ์และความรู้ในงานด้านละครเวที มาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานโชว์ครั้งนี้
ความสำคัญของงานเสื้อผ้า ในละครเวทีเรื่องนี้ ที่ผู้จัดการฝ่ายตอสตูมบอกว่า ง่ายๆคือ ในละครเรื่องนี้ ถูกสร้างมาเพื่ออวดความวิจิตรตระการตามาตั้งแต่เริ่มแรก จึงเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องทุ่มเทกับมันเป็นพิเศษ และนอกจากหน้ากากแฟนธ่อม ที่เป็นทั้งโลโก้ของละคร และเป็นพร็อพสำคัญของเรื่องแล้ว ชุดน้ำหนัก 12 กิโลกรัมของตัวละคร ก็เป็นความพยายามที่จะ สร้างความสมจริงในรายละเอียด และเป็นองค์ประกอบที่ยังเลี่ยงไม่ได้ของงานละครเรื่องนี้ (เห็นทีต้องไปปรึกษาทีมงานของ คริสโตเฟอร์ โนแลน แห่ง Dark Knight ที่คิดค้นชุดแบทแมนขึ้นมาเป็นวัสดุเนื้อเบาใส่ได้จริงคล่องตัว)
ในส่วนของการ จ้างงานคนท้องถิ่น (คนไทย) ในงานละครเรื่องนี้ ไม่ใช่ "การร่วมสร้าง" แบบ ที่ละครเพลง Miss Saigon ฉบับลูกครึ่งไทย โปรดักชั่นภายใต้การบริหารของคาเมรอน แม็คอินทอช ที่เพิ่งลาโรง รัชดาลัยไปปลายปีที่แล้ว ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หลากหลาย
"นักแสดงหลักของทัวร์นี้ ถือว่าลงตัวหมดแล้ว เราจะไม่สรรหานักแสดงใหม่มาร่วมทีมตลอดทัวร์นี้เลย" ผู้กำกับไรเนอร์ฟรีดชี้แจง และเพิ่มเติมถึงการจ้างงานคนท้องถิ่นว่า จะมีในส่วนของ นักดนตรีในวงออเคสตร้า ที่จะบรรเลงสดทุกรอบการแสดง (ในหลุมหน้าเวทีนั่นแหละ) ร่วมกับ วาทยากรหลักจากทีม และ มิวสิค ไดเร็คเตอร์ ที่จะเดินทางมาพร้อมกับทีมงานสร้าง
"เราจะเปิดออดิชั่น หานักดนตรีมาเสริมวงออเคสตรา ซึ่งน่าจะเริ่มก่อนการแสดงจริงสองถึงสามเดือน" ผู้กำกับ บอก ถึงขั้นตอนการทำงานของคณะละครออกทัวร์ ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นที่เมืองไทยด้วย
บรอดเวย์ถึงรัชดาลัย
การมาเมืองไทยของละครเพลงชื่อดัง ที่ทั้งผู้ชมและนักแสดงต้องการสัมผัสนั้น เจ้าของโรงละครรัชดาลัย และคณะละครซีนเนริโอ เอ็กแซคต์ ที่ปลุกกระแส ละครเพลงภาษาไทยให้คึกคัก ในรูปแบบอลังการงานสร้าง น้ำตกเจิ่งนองเวที และมีดารานักแสดงนำเป็นจุดขาย ให้ผู้ชมได้เห่อกระแส และมีผู้วิจารณ์ในหลากหลายแง่มุม
ข้อจำกัดทางเทคนิค ที่ผู้กำกับฉบับออนทัวร์บอกว่า “มันก็ใช่ เมื่อก่อนมีปัญหาทางเทคนิคเกี่ยวกับโรงละคร แต่ตอนนี้เราเช็คแล้วว่า โรงละครที่บางกอกพร้อมแล้ว”
ในวันนั้น ทีมงานได้สาธิตฉาก "แชนเดอร์เลียตก" ที่เป็นฉากสำคัญและเป็นที่กล่าวขวัญถึงตลอดมาของละคร ซึ่งโคมไฟระย้าขนาด 1ใน 4 ของพื้นที่เวทีละครนั้น จะถูกใช้ซ้ำหลายร้อยรอบ โดยไม่แตกหัก นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของเทคนิค ซึ่งอาศัยวัสดุน้ำหนักเบายืดหยุ่น เช่น พลาสติก โครงอลูมิเนียม แทนโลหะเปราะบางแตกง่ายอื่นๆ ขณะที่ เชิงเทียนเปลี่ยนฉากจะผลุบโผล่ขึ้นมาจากพื้นเวที เป็นเทคนิคที่ใครๆก็ทำได้แล้ว ถกลเกียรติ พูดถึง เรื่องเทคนิคในโรงละคร ที่เขายืนยันว่าได้มาตรฐานพร้อมสำหรับโปรดักชั่นสากลแน่นอน และก่อนการตอบรับ ทางทีมสร้างได้ตรวจสอบ สเปคของสถานที่ไว้แล้ว ฝ่ายผู้จัดชาวไทย ให้ความเห็นที่ต่างไปว่า อาจจะยังไม่ถึงเวลา "วิธีร้องแบบที่ละครเรื่องนี้ต้องการอาจจะยากสำหรับคนไทย แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนร้องได้ อาจจะต้องรอสักระยะหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา และถ้าจะทำจริงๆ ทางโปรดักชั่นต้นฉบับคงจะลงมาดูแลเองด้วย” ถกลเกียรติ ตอบว่า “จุดนี้ผมถือว่าพอใจมากๆ สิ่งที่ต้องการตอนนี้คือ ทำยังไงให้มันดีต่อไป อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง และขยายฐานผู้ชม ผมอยากขยายจำนวนคนดูในแต่ละเรื่อง เพราะอยากให้หลายๆคนมาสัมผัสประสบการณ์ร่วมกัน” แต่โอกาสที่วงการละครเวทีไทยจะโตไปถึง แบบเวสต์เอนด์หรือบรอดเวย์ มีละครแสดงตลอดฤดูกาลและหลากหลายแนวได้หรือไม่นั้น ถกลเกียรติบอกว่า คงลำบาก เพราะปัจจุบันในโลกนี้ก็มีเพียง นิวยอร์ค และลอนดอนเท่านั้น ที่มีลักษณะพิเศษเช่นนั้น คำถามนี้กลับมาถึงประเด็น การเข้าถึงและชื่นชมงานศิลปะละครเวที ว่าอาจจะไม่ใช่ความคุ้นเคยของคนไทย? “การแสดงสด คนที่ไม่มีฝีมือ ไม่มีสิทธิที่จะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วให้คนดูแถวหลังรู้สึกกับมันได้เลย มันเป็นงานที่ยากกว่ามาก เทียบกับงานแสดงละครทีวี ที่ดาราวัยรุ่นอาจต้องเทคแล้วเทคอีก แต่เขาก็ยังได้งานแสดงอยู่ เพราะเขาดัง เขามีงานโฆษณา คนชอบหน้าตาเขา จะเทคกี่ครั้ง ก็ตัดต่อได้และออกมาดี แล้วคนดู(ทีวี)เป็นล้านๆคนน่ะ ซึ่งมันเทียบกันไม่ได้เลย กับงานยากๆ ในละครเวที ที่รอบหนึ่งมีคนดูแค่ 1,000-2,000 คน และระบบการศึกษาก็ไม่ได้ฝึกให้เราฝึกฝน ความยากลำบาก” แต่การยกโปรดักชั่นละครเพลงราคาแพงมา ความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? ถกลเกียรติให้ความเห็นว่า “จาก 5 ปีที่มีรัชดาลัย คนดูเปลี่ยนไป ในแง่ความสนใจ ( interest) และความรู้ถึง(ศาสตร์/ศิลป์)ละครเวที ที่เราทำมา คนรู้เรื่องละครเวทีเยอะขึ้น แต่เราก็มีความเสี่ยงเยอะ เพราะพูดไปแล้ว ละคร local musical (ผลิตเองในไทย) กับละคร international musical (งานจากต่างประเทศ) ก็ต่างกันมาก ในแง่ว่าเป็น target ผู้ชมคนละกลุ่มเลยทีเดียว ความเสี่ยงที่ว่า เพราะมันเป็นเรื่องประหลาด ที่เล่าให้คนประเทศอื่นฟังเขาตกใจกันหมด คือ Mamma Mia! ละครเพลง ที่ไปแสดงทุกเมือง มัน sold out ทุกเมือง ยกเว้นบางกอก ยกตัวอย่าง มาเลเซีย ที่อยู่ติดๆกัน เขาเปิดการแสดงสี่สัปดาห์ ตั๋วขายหมด แต่มาเมืองไทยเงียบ ไม่ใช่คนไทยไม่รู้จักนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่มีคนซื้อตั๋วมาดู ผมก็ไม่เข้าใจ แต่กรณี Phantom ผมคิดว่า มันน่าจะดีขึ้น เพราะจากเปิดขายบัตรไป ก็ได้รับความสนใจพอสมควร” “ผมตั้งข้อสังเกตเองว่า คนไทย น่าจะติดกับ 'สิ่งที่เห็น' ในงาน theatre เพราะผมได้ยินมาว่า คนที่ไปดู Mamma Mia! (แสดงที่โรงละครรัชดาลัย เมื่อปี 2007) บ่นว่า อะไร ทำไมมีแค่นี้เอง ฉันดู ข้างหลังภาพ มิวสิคัล ยังสนุกกว่าเลย อย่างน้อยก็มี น้ำตก มีเอฟเฟคต์ด้วย และทำไมตั๋วแพง แต่ไม่คุ้ม ส่วน Phantom น่าจะตอบโจทย์ฉากอลังการได้ " ซึ่งถกลเกียรติ อธิบายเพิ่มเติมว่า ละครบรอดเวย์ในความเป็นจริง มันมีหลากหลาย ละครดีๆ ไม่ได้หมายความว่าต้องมีฉากอลังการทุกเรื่อง มันขึ้นอยู่กับ point หลัก และเนื้อในมันคืออะไร เช่น Chicago ไม่ได้เน้นฉากอลังการ แต่เน้นศิลปะการเล่าเรื่อง ยกตัวอย่าง การเต้นแบบที่ขยับนิ้ว ไปมาแค่นี้ อันที่จริง มันเป็นความยอดเยี่ยมมากในทางการเคลื่อนไหว ซึ่งนักเต้นจะรู้ แต่คนดูอาจจะไม่เห็นว่ามันสำคัญ ในแง่คุณค่าทางศิลปะการละคร การมาของ Phantom นอกจากได้เห็นผลงานระดับโลกแล้ว บอย ถกลเกียรติ บอกว่า "ถ้ามัน success มีคนดูมาก มันก็น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนได้ทำอะไรมากขึ้น”
“โปรดักชั่นของ Phantom เขาจะปรับสเกลของเวทีให้เหมาะกับโรงละครได้เอง แต่โครงสร้างพื้นฐานรองรับได้พอ ปัญหาของคนที่อยากได้ โรงละครโรงใหญ่ๆ อลังการ ผมจะถามว่า ถ้าโรงใหญ่ มีใครอยากไปนั่งข้างหลัง ไกลๆ ไหม ก็ไม่มี ที่ลอนดอน นิวยอร์ค โรงละครขนาดเล็กกว่าเรา และ Phantom คนดูควรได้ดูแบบใกล้ชิด ซึ่งก็ถือว่าเหมาะกับรัชดาลัย เธียเตอร์ และยืนยัน สิ่งสำคัญคือ คานรับน้ำหนักแชนเดอเลียร์ ตอนแรกๆที่สร้างโรงละครนี้ ก็มีการศึกษารูปแบบ ซึ่งผมก็บอก(ทีมงาน)ว่า ทำไงก็ได้ให้ Phantom เล่นได้ (หัวเราะร่วน)”
ข้อจำกัดเรื่องภาษา กับการมีซับไตเติ้ลบนจอสองฝั่งขอบเวที อาจจะช่วยการเข้าใจเนื้อหาเพลงต่างภาษา (ในเกาหลีใต้ก็ใช้แบบนี้) แต่ความเห็นจากนักแสดงนำบอกว่า "อย่ามัวแต่จ้องอ่านซับไตเติ้ล อาจจะทำให้พลาดโอกาส เพราะละครเรื่องนี้เน้นด้านวิช่วลมาก พอกับเสียงและเรื่องราว"
อย่างไรก็ตาม แม้พลังของ Music of Night จะเอกอุคุโชนดุจภูเขาไฟหลับใหลรอเวลาตื่น แต่ "ราคาบัตร" (1,500-5,000 บาท) ก็เป็นโจทย์ท้าทาย ของผู้จัดว่า คนไทยจะ "ยอมจ่าย" ซื้อความบันเทิงที่อยู่ในขั้นราคาแพง มากพอที่จะทำให้ผลประกอบธุรกิจ "ละครเพลงนำเข้า" ไม่ขาดทุนได้หรือไม่นั้น
แบรด ลิตเทิ่ล พระเอก ทำหน้าที่เชียร์แขก(ไทย)แบบขายตรงว่า "ถ้าคิดว่าตั๋วราคาแพง แต่ถ้ามันผ่านไปแล้ว พวกผมกลับไปแล้ว มีคนเขาล่ำรือกันทั่วเมือง แล้วมาเสียดายทีหลังอย่าให้มันเกิดขึ้นกับคุณแบบนั้นนะ"
ขณะที่ ผู้กำกับเอ่ยถึง ความเป็นไปได้ในการดัดแปลงละครเรื่องนี้เป็นภาคภาษาไทย (ภาษาอื่นนอกเหนือจากอังกฤษ ซึ่งเกาหลี ญี่ปุ่นเคยทำมาแล้ว) ว่า "ก็เป็นไปได้ เราเคยลอง และได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนกันนะ" ไรเนอร์ ฟรีด บอก
“แต่อย่างเกาหลีก็มีโรงละครมากกว่า มีคนดูเยอะแยะ กว่าเมืองไทย เราก็คิดอยากให้เป็น habit ของคนไทยมากขึ้น คือออกจากบ้าน มาดูเอนเตอร์เทนเมนท์ที่สดมากขึ้น และมันมีเรื่องที่คนดูยังอาจไม่เข้าถึงละคร ยังไม่รู้ว่านี่คือเก่ง นี่คือคุณภาพการแสดง และยังเคยชินกับการดูละครอยู่ที่บ้าน โดยลืมนึกไปว่า ละครทีวีมันผ่านการตัดแต่งมาอย่างดี แต่ละครเวทีมันเป็นความสด เทคนิคช่วยได้ไม่มาก”
ผู้สื่อข่าว เดอะ เนชั่น จึงย้อนถามว่า คนไทยไม่มีวัฒนธรรมในการดูละครเพลงหรือเปล่า? ถกลเกียรติให้คำตอบว่า "ผมไม่รู้นะ แต่จะลองยกตัวอย่าง ตลาดเพลงป๊อปละกันว่า เราต่างกับมาเลเซียยังไง ที่ไทย คนฟังเพลงไทยในตลาดเพลงมี 80% ฟังเพลงฝรั่งแค่ 20% เพราะเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร เราอาจจะไม่เข้าใจ cultureของฝรั่ง แต่อย่าพูดว่าเราไม่มีวัฒนธรรมการดู เพียงแต่เราไม่มีพื้นฐานในเรื่องแบบนี้ เพราะงั้น มันก็เลยพูดไม่ได้ และการ educate ด้วย ทุกอย่างก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
“Phantom มันเป็น love story เป็นรักสามเส้า เป็นแนว escapist ที่คนไทยเข้าถึงได้ และมันสุดยอดในมุมนี้ แต่ถ้าเป็นสุดยอดละครบรอดเวย์ในด้านอื่นๆ ก็มีเรื่องอื่น สำหรับผมละครเพลงที่สุดยอดมากอีกเรื่องคือ Les Miserables แต่ผมจะไม่มีวันเอาเข้ามา ในระยะเวลาภายใน 5 ปีนี้หรอก เพราะ Les Miserables มันเป็นเรื่องว่าด้วยความฝัน ความหวัง ความมุ่งมั่น (พื้นฐานต่างจากสังคมไทย) คงยากที่จะดังในไทย”
ส่วนบทเรียนจากประสบการณ์ทัวร์นานาชาติผู้กำกับ The Phantom เล่าว่า แตกต่างไปตามประเทศ เช่นที่เม็กซิโก กับ เกาหลี ก็ต่างกัน บางที่ผู้ชมตอบรับเหมือนคอนเสิร์ตร็อค แต่บางที่อย่าง กรุงโซล ผู้ชมจะนั่งนิ่งและจดจ่อกับการชมตลอด 3 ชั่วโมง (พักครึ่ง 20 นาที) ก่อนจะลุกขึ้นมาปรบมืออย่างบ้าคลั่งในตอนจบ เพื่อแสดงความชื่นชม และการหวนคืนโซลมาถึงสี่หน ก็ยืนยันความนิยมได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดคือ ความเชื่อ ความหวัง ความมุ่งมั่นของฝ่ายผลิต แต่ฝ่ายผู้ชมจะขานรับแบบกึกก้องและร้องเพลงของแฟนธ่อมกระหึ่มโรงละครที่เมืองไทยหรือไม่ คงต้องรอดูกันเมื่อวันที่ผีแห่งโรงโอเปร่าและคณะปรากฏโฉมในเดือนพฤษภาคมปีนี้




