Solomon’s Paradox ชี้แนะตนเองล้มเหลว | วรากรณ์ สามโกเศศ
![Solomon’s Paradox ชี้แนะตนเองล้มเหลว | วรากรณ์ สามโกเศศ](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2023/12/7XGWiTH8CXdGbvwMnE9V.webp?x-image-process=style/LG)
ในปี 2557 นักจิตวิทยาสองคนชื่อ Igor Grossman และ Ethan Kross แนะนำให้โลกรู้จัก คำว่า Solomon’s Paradox หรือสถานการณ์ที่ย้อนแย้ง
“พี่เขาเป็นคนที่ให้คำแนะนำที่ดีๆ แก่พวกเราเสมอ แต่แปลกนะที่ชีวิตพี่เขาแสนวุ่นวาย เหมือนขาดหางเสือ”
“เพื่อนผมให้คำแนะนำเพื่อดูแลสุขภาพได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ดูสารรูปของเขาแล้วไม่น่าอยู่ถึง 60”
“คุณพ่อเป็นคนคิดแก้ปัญหาชั้นยอดให้ผู้อื่น แต่สำหรับปัญหาของตัวท่านแล้ว ทำไมถึงคิดไม่ออกก็ไม่รู้”
คำพูดแบบนี้เราคงได้ยินกันอยู่เนืองๆ และสังเกตเห็นปรากฏการณ์แบบนี้ด้วยตนเอง นักจิตวิทยาก็เห็นและเรียกมันว่า “Solomon’s Paradox” การเข้าใจความยอกย้อนเช่นนี้จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเราเองและตัดสินใจได้ดีขึ้น
Solomon ในที่นี้คือชื่อของ King Solomon แห่งอาณาจักรที่มีชื่อว่า Ancient Israel อยู่ระหว่าง 1,300 ถึง 1,200 ก่อนคริสตกาล ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความฉลาดและปัญญาหลักแหลม
มีเรื่องเล่าว่าหญิง 2 คนแย่งทารกกันโดยต่างอ้างว่าเป็นแม่ Solomon จึงควักดาบออกมาและบอกว่าจะตัดเด็กออกเป็นสองท่อนแล้วแบ่งกันไป หญิงคนหนึ่งร้องไห้และร้องว่ายอมแล้วอย่าทำเลย ยอมยกเด็กให้แล้ว Solomon ก็เลยตัดสินว่าหญิงคนนี้เป็นแม่จริงของเด็ก
Solomon เลื่องลือในการใช้ปัญญาให้คำชี้แนะที่มีเหตุมีผล ถูกต้องตามตรรกะแก่ผู้คนเสมอ แต่สำหรับตัวเขาเองแล้วกลับมีชื่อเสียงเลวร้ายในการดำเนินชีวิต เลี้ยงลูกก็ไม่ได้ดี เหล่าบรรดาสนมที่มีมากมายให้ลูกนอกสมรสจนจำชื่อและหน้าไม่ได้
ชีวิตอีลุ่ยฉุยแฉกในการใช้เงินและใช้ชีวิตส่วนตัว เขาให้คำแนะนำที่เป็นเลิศแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถให้คำแนะนำและการปฏิบัติที่ดีแก่ตนเองได้
ในปี 2557 นักจิตวิทยาสองคนชื่อ Igor Grossman และ Ethan Kross แนะนำให้โลกรู้จัก คำว่า Solomon’s Paradox หรือสถานการณ์ที่ย้อนแย้ง
กล่าวคือ เมื่อบุคคลหนึ่งมีปัญญาและความสามารถในการให้คำแนะนำแก่ผู้อื่นได้ดี ก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกันสำหรับตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่ามันคือความสามารถของบุคคลในการวิเคราะห์เหตุและผลของปัญหาของคนอื่นได้ดีกว่าของตนเอง
งานศึกษาชิ้นนี้ค้นพบ 2 สิ่งคือ
(1) มนุษย์สามารถวิเคราะห์ปัญหาของคนอื่น และหาทางออกที่มีเหตุมีผลได้ดีกว่าปัญหาของตนเอง กล่าวคือมนุษย์มีความเอนเอียงในการใช้ความคิดจัดการเรื่องชีวิตของผู้อื่นได้ดีกว่าเรื่องชีวิตของตนเอง
(2) เมื่อเราพยายามทำตัวให้หลุดพ้นจากการจมปลักพัวพันอยู่ในเรื่องของตนเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าทำให้ตนเองมีระยะห่างจากปัญหาของตัวเราแล้ว ก็จะสามารถตัดสินใจอย่างมีเหตุและผลได้ดีกว่า
ทั้งสองข้อสรุปนี้เราสามารถประยุกต์กับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่รู้ว่ามนุษย์มี Solomon’s Paradox เราอาจนึกว่าสามารถให้คำแนะนำแก่ตัวเราเองได้ดีพอๆ กับที่ให้คำแนะนำแก่คนอื่น
ดังนั้น เราอาจเข้าใจว่าคำแนะนำที่ให้แก่ตนเองนั้นถูกต้องและเหมาะสมดีแล้ว ทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นคำแนะนำที่แย่มาก
เราเห็นแพทย์หรือเพื่อนผู้มีความรู้ดีมากในเรื่องการออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ อาหารและยา ให้คำแนะนำที่ดีเป็นคุ้งเป็นแคว แต่ทั้งหมดนั้น ตนเองมิได้ปฏิบัติตามเลย โดยไม่รู้สึกอะไรเพราะคิดว่าตนเองเป็นข้อยกเว้นพิเศษที่ไม่ต้องทำก็สามารถมีสุขภาพดีได้
ฟังดูอาจแปลก แต่ใจมนุษย์นั้น “ยากแท้หยั่งถึง” เพราะเรานั้น “เชื่อ-ชอบ-รัก” อย่างที่เราเลือกที่จะ “เชื่อ-ชอบ-รัก” อารมณ์นั้นมาเหนือเหตุผล
ถ้าไม่เชื่อลองไปถามแม่ของฆาตกรร้ายๆ ดูก็ได้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ถูกประหารชีวิตไปแล้ว อาจได้ยินว่า “จริงๆ แล้วเขาเป็นคนดี มีจิตใจดี” หรือส่องกระจกดูตนเองก็จะได้ความรู้สึกว่าถึงจะแก่ไปบ้างแต่ก็ดู “งามสมวัย”
เมื่อเรายอมรับว่า Solomon’s Paradox มีจริงเพราะมนุษย์นั้นเป็นมนุษย์เสมอ มีรัก-โลภ-โกรธ-หลง เป็นเจ้าเรือน ในเรื่องปัญหาของตนเอง อารมณ์มีส่วนสำคัญในการบดบังความคิดและวิจารณญาณ จนอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้
นักจิตวิทยาได้เสนอวิธีการที่น่าสนใจในการเอาชนะ Solomon’s Paradox โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ดังต่อไปนี้
(1) สร้างระยะห่างเพื่อความชัดเจน อารมณ์ของตัวเราเองทำให้การคิดวิเคราะห์ที่โล่งชัดเจนเกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้น ต้องพยายามตัดตนเองจากการวิเคราะห์ปัญหาของตนเองด้วย 2 เทคนิค ดังนี้
(ก) จินตนาการว่ากำลังให้คำแนะนำแก่เพื่อนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา แบบฝึกหัดการคิดเช่นนี้จะทำให้เกิดระยะห่างที่ช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างเที่ยงธรรมและปลอดจากอารมณ์ของตัวเราเอง
(ข) พูดกับตนเองในฐานะบุคคลที่สาม การกระทำเช่นนี้ทำให้สามารถมองปัญหาได้จากอีกแง่มุมหนึ่ง ปลอดจากความเอนเอียงของจิตใจเรา วิธีนี้ช่วยให้เกิดความตระหนักในสถานะของตนเองและทำให้ไม่เอนเอียงในการประเมินสถานการณ์
(2) ยอมรับสิ่งที่ค้นพบ เมื่อมีระยะห่างจากตนเอง และเห็นสภาพความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เอนเอียงแล้ว ขั้นตอนนี้คือการรับเอาคำแนะนำที่ให้กับบุคคลที่สาม (ตนเอง) มาปฏิบัติ ต้องยอมรับความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นจากการรับเอาคำแนะนำดังกล่าวมาปฏิบัติ และ
(3) ลงมือปฏิบัติอย่างไม่รีรอ ขั้นตอนนี้ยากที่สุด เพราะเป็นการนำเอาสิ่งที่ค้นพบ หรือคำแนะนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังและไม่รีรอ ถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็อาจน้อยกว่าหากทิ้งไว้โดยไม่มีการแก้ไข
โดยสรุป วิธีการที่สำคัญในการเอาชนะ Solomon’s Paradox กล่าวคือสามารถให้คำแนะนำที่ดีแก่ผู้อื่นและตนเองอย่างเท่าเทียมกันก็คือ สร้างระยะห่างจากตนเองเพื่อมิให้อารมณ์เข้ามาแทรกแซงบดบังการใช้เหตุใช้ผลอย่างเที่ยงธรรม
โดยเล่นบทว่ากำลังให้คำแนะนำแก่เพื่อนที่อยู่ในสภาพปัญหาเดียวกับเรา เมื่อได้คำตอบแล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติจริงจังอย่างไม่รีรอ
ทำอย่างไรเราจะมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์ให้คำตอบแก่ตัวเราเองได้ชัดเจน เหมือนเวลานั่งดูละครและเห็นคำตอบได้ชัด เช่น พุดตานในละครออเจ้า ไม่ควรกลับกรุงเทพฯ ควรอยู่อยุธยาต่อไป เพราะความรักได้นำทางมาแล้ว
(และเราจะได้ดูละครต่อไปอย่างมีความสุขสไตล์แฮปปี้เอนดิ้งของชาว ทุ่งลาเวนเดอร์ด้วย).