ประเทศไทยกับการเดินทางสู่ SDGs Goal ขับเคลื่อนไปต่ออย่างไร?

ทบทวนเป้าหมายการขับเคลื่อน SDGs หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคส่วน หลังไทยให้คำมั่นบนเวทีโลกจะบรรลุเป้าหมายภายในปี 2573 ถึงตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 8 ปี ไทยจะเดินหน้าไปต่ออย่างไรเพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เมื่อต้องการให้โลกดีขึ้นภายในปี 2573 นานาประเทศ ภายใต้การขับเคลื่อนของสหประชาชาติ ได้มีการจัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน : The 17 sustainable development goals (SDGs) to transform our world ขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนกรอบในการพัฒนาที่มีจุดมุ่งหมายคือ การดำเนินการที่ทำให้ทุกคนและทุกชีวิตบนโลกนี้มีความสงบสุขอย่างเท่าเทียม หรือสามารถสรุปได้ว่า เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนคือ "การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"
แต่ปัจจุบันประเทศไทยเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 8 ปีของการเดินทางตามเป้าหมาย SDGs จึงถึงเวลาที่ต้องทบทวนว่าสถานการณ์และเป้าหมายนั้นเดินหน้าหรือถอยหลังไปมากน้อยเพียงไร ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคส่วนเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย" พ.ศ. 2565 Thailand Sustainable Development Forum 2022 เหล่าภาคีทั้ง 22 หน่วยงานจึงมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้มุมมองระหว่างภาคส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2565 นี้
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมปาฐกถาพิเศษในเวทีครั้งนี้ ผ่านประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงระดับฐานราก (Transformation) โดยกล่าวว่า SDGs Goal เป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งการจะทำให้ประเทศไทยบรรลุถึงเป้าของ SDGs ได้ภายในปี 2030 จำเป็นต้องหาวิธีการเพิ่มเติม ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายเครื่องมือ กลไกต่างๆ ซึ่งมีหลายฝ่ายที่ร่วมเสนอโมเดลหลายโมเดล แต่โมเดลที่สำคัญ เป็นเรื่องทรานฟอร์มเมชัน และจำเป็นต้องมี Entry Point ซึ่งนำมาสู่ 6 ประเด็นหลักสำคัญ ได้แก่
- สุขภาวะและทรัพยากรมนุษย์ (Human Well-being and Capabilities)
- เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรม (Sustalnable and Just Economies)
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน (Energy Decarbonization with Universal Access)
- การพัฒนาพื้นที่เมืองและพื้นที่กึ่งเมือง (Urban and Peri-urban Development)
- ระบบอาหารที่ยั่งยืนและโภชนาการเพื่อสุขภาพ (Sustainable food systems and healthy nutrition)
- ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของโลก (Global environmental commons)
กางโรดแมป "รายงานพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย"
สัตวแพทย์หญิง ดร.อังคณา เลขะกุล สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ปี 2565 เกิดจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างหลายภาคส่วน ร่วมกันสู่เป้าหมายที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยในการขับเคลื่อนการพัฒนาในครั้งนี้ มีการนำแนวคิดวงจรสุวัฎจักร หมายถึง วงจรแห่งคุณงามความดี เป็นการดึงคนที่มีความเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน และทำงานร่วมกัน มองเห็นปัญหาร่วมกัน และใช้ข้อมูล หรือปัญหาช่องว่างที่มีอยู่อะไรบ้างเพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหา ซึ่งในด้านกระบวนการ เกิดกิจกรรมมากมายมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2564 มุ่งเน้นเวทีที่ส่งเสริมให้เห็นว่าเรื่อง SDGs เป็นเรื่องทุกคน ระดมความคิดเห็น โดยพยายามทำให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดจากหลายภาคส่วนทั้งสังคม เอกชน ราชการ และวิชาการ
นอกจากนี้ยังมีการทำประชาพิจารณ์ นำมาสู่ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงระดับฐานราก ทั้ง 5 ประเด็น ได้แก่
- ประเด็นที่ 1 สุขภาวะและทรัพยากรมนุษย์
- ประเด็นที่ 2 เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
- ประเด็นที่ 3 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพลังและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
- ประเด็นที่ 4 การพัฒนาของพื้นที่เมืองและพื้นที่กึ่งเมือง
- ประเด็นที่ 5 ระบบอาหาร ที่ดิน น้ำ และมหาสมุทรที่ยั่งยืน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชล บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงการนำกรอบ INSIGHT เป็นเฟรมเวิร์คในการขับเคลื่อนว่า จุดเด่นของรายงานฉบับนี้ นอกจากการใช้ทรานสฟอร์เมชันมาเป็นกรอบมอง SDGs แล้วยังมี กรอบ INSIGHT มาจากงานวิจัยที่ SDGs Move และ IHPP ร่วมกันกับสำนักงานวิจัยแห่งชาติ ซึ่งเราได้แรงบันดาลใจจากระบบสุขภาพโดยตรง เพราะการจะทำให้การขับเคลื่อน SDGs ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด จะมองแค่เป้าหมายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองย้อนไปถึงกลไกที่จะมาสนับสนุนการขับเคลื่อน เราจึงลองประมวลได้มา 7 ปัจจัย ได้แก่
- I คือ ความสอดคล้องกันของกฎกติกาและนโยบาย
- N คือ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ
- S คือ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
- I คือ แหล่งข้อมูล
- G คือ ผู้นำในการขับเคลื่อน
- H คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ
- T คือ งบประมาณ
"จากภาพรวมของ 5 ประเด็น เรากรอบ INSIGHT นำมาจำแนกตามและมองว่ามีประเด็นอะไรที่สำคัญ ซึ่งในประเด็นสอดคล้องกับกฎหมาย นโยบายที่เกี่ยวข้องพบปัญหาเรื่องความสอดคล้องระหว่างการบังคับใช้และกฎหมาย ในประเด็นการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ยังขาดการมีส่วนร่วม ความร่วมมือในการผลักดันขับเคลื่อนพื้นที่ ประเด็นเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม มองว่ายังควรมีการใช้มากกว่านี้ ในด้านแหล่งข้อมูลเรายังต้องการการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลสถิติมากขึ้น และเชื่อมโยงมากขึ้น โดยเฉพาะภาคประชากร ประชาสังคม ในด้าน Governance ยังมีปัญหาการจัดการภาครัฐที่ยังเป็นไซโล ขาดการเชื่อมโยงและเป็นแนวราบ ในด้านทรัพยากรมนุษย์ยังขาดการพัฒนาที่เป็นระบบทั้งในภาครัฐและสังคม ในเรื่องทรัพยากรการเงินที่ขาดงบประมาณขับเคลื่อนภาคประชาสังคมและท้องถิ่น" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชล กล่าว
สัตวแพทย์หญิง ดร.อังคณา เสริมว่า ไม่ใช่เพียงช่องว่างของระบบที่ได้ชี้ให้เห็น แต่ยังนำมาสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 3 ข้อ ได้แก่
- ต้องมีการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ควรมีการสร้างข้อมูล และกลไกการใช้และเข้าถึงข้อมูลของภาคประชาชน
- การขับเคลื่อนทุกภาคส่วนและทุกระดับสอดประสานกัน คือการคิดว่าเราต้องมาจับมือร่วมกันทำงานโดยไม่มีเส้นกั้นว่าเป็นใคร ภาคส่วนไหน แต่ทำเพื่อโลกของเรา รวมถึงการทำงานในระดับเชิงพื้นที่มีความสำคัญมาก
- การขับเคลื่อนผ่านการวิจัย นวัตกรรมและกระบวนการเรียนรู้ในสังคม
สัตวแพทย์หญิง ดร.อังคณา กล่าวต่อว่า อยากให้ SDGs เป็นกรอบในการวิจัยและสร้างการเรียนรู้ให้แก่คนในสังคมผ่านแพลตฟอร์มที่เข้าถึง สามารถพูดคุยกัน นำข้อเท็จจริงมาคุยกันก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้
เจาะลึก อะไรคืออุปสรรคการพัฒนาที่ยั่งยืนไทย
นอกจากนี้ ในการประชุมฯ ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการพัฒนาที่ยั่งยืนในปัจจุบัน ผ่านเสวนาสาธารณะ : สถานการณ์และปัญหาการพัฒนาที่ยั่งยืนในปัจจุบัน แนวทางการขับเคลื่อนงานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ซึ่งมีเสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วน ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองปัญหาจากประสบการณ์จริง
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าคนเป็นทั้งตัวต้นเหตุปัญหาและเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนหรือไม่ แท้จริงแล้วการพัฒนาก็มีเป้าหมายมุ่งไปที่การสร้างความสุขของคนหรือมวลมนุษยชาติ แต่การพัฒนาและสะสม ความรู้และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์ กลับเป็นอุปสรรค จำกัดหรือปัจจัยที่ทำให้คนเราห่างไกลจากความสุข อาทิ โลกร้อน การบริโภคเกินพอดี สงคราม ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีและความรู้ที่ยั่งยืน ควรเกิดจากความคิดเพื่อทุกคน และคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำ คิดถึงความสุขของผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม ขณะเดียวกัน ต้องส่งเสริมการพัฒนาจริยธรรมในจิตใจทุกคน เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียมแท้จริงที่ทุกคนได้รับการศึกษา การดูแลสุขภาพ ความเป็นอยู่เสมอภาคทุกภาคส่วน ซึ่งผลลัพธ์กำลังเกิดในเด็ก
"การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องสร้างผู้นำการพัฒนาที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจากการส่งเสริมให้เด็กเยาวชนของเรา ซึ่งจะเป็นพลเมืองโลกไม่เติบโตแบบเปราะบาง แต่ควรได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม เพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและดูแลเพื่อนร่วมโลก ช่วยจัดการโลกที่ยั่งยืน" รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
ขับเคลื่อนพลังงาน สิ่งแวดล้อม ต้องใช้พลังคน
ดร.วรจิตต์ เศรษฐพรรค์ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม ให้มุมมองว่า กำลังคนสำคัญมากในการทำงานขับเคลื่อนต้องเริ่มที่มีคนเป็นตัวตั้ง แม้แต่ในเรื่องการขับเคลื่อนในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการสร้างเมือง สังคม สิ่งแวดล้อมหรือพลังงานที่ยั่งยืน ถ้าเราอยากขับเคลื่อนต้องเริ่มด้วยการ KNOW 3 เรื่อง คือ KNOW SELF การรู้ว่าจักตัวเอง ด้วยการมีข้อมูล KNOW WHO ต้องมีเครือข่าย และรู้ว่าใครจะให้ความช่วยเหลือแก่เราได้ และ KNOW HOW จำเป็นอย่างมากที่ต้องมีองค์ความรู้ รู้ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร รู้จักนโยบายหรือควรเชื่อมโยงอะไรว่าจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างไร
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (TBC) จากประสบการณ์ในการขับเคลื่อนเรื่องเกษตรกรรมยั่งยืนมากว่ายี่สิบปี พบว่า ปัจจัยความสำเร็จต้องอาศัยคนและกลไกของคน แต่จะเป็นสิ่งที่อาศัยแค่คนอย่างเดียว หรือแค่ความพยายามของคนไม่ได้ ควรมีภาคนโยบายที่ช่วยขับเคลื่อนหรือหนุนเสริมเพื่อให้แนวคิดถูกขยายออกไป ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการรับรู้มุ่งไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ปัญหาที่อยู่อาศัย ไม่ใช่แก้แค่กายภาพ
สมสุข บุญญะบัญชา ประธานคณะอนุกรรมการบ้านมั่นคงและการจัดการที่ดิน กล่าวว่า ปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำกันมาก ทั้งในแง่คนในสังคมเมืองกับพื้นที่ห่างไกล คนรวยกับคนจนซึ่งมักขาดโอกาสในทุกเรื่อง ทั้งการศึกษา การประกอบอาชีพรายได้ หรือแม้แต่การจะมีบ้านที่พักอาศัยที่อยู่ที่มั่นคง โดยเงื่อนไขสำคัญในการแก้ปัญหาที่อยู่ต้องทำหลายเรื่อง ไม่ใช่แก้แค่กายภาพอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน ความสามารถในการจัดการ การสร้างระบบเงิน หรือพัฒนาระบบที่ทำให้เกิดกลไกร่วมกันเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาคนจน ซึ่งมีปัญหาหลายมิติไปพร้อมกัน
"เมืองที่มีความร่วมมือกันและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบทั้งเมือง เขาสามารถแก้ปัญหาในหลายๆ เรื่อง นอกจากแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งยังเป็นเมืองที่เกิด Active Citizen ด้วย การมีพลเมืองที่ตื่นรู้สามารถจะคิดอะไรใหม่ๆ ได้มากมาย ซึ่งเป้าหมายต้องอยู่ที่ชาวบ้านที่เขามีโอกาสเข้าถึงความรู้และกลไกในการแก้ไขปัญหาของตัวเอง" สมสุข กล่าว
เศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องเดียวกัน
ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต กล่าวว่า ในเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากเรื่องที่เป็นรูปธรรม แต่ต้องเริ่มจากความคิดที่เป็นนามธรรม ดังนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะถ้าคิดแยกส่วนจะทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นธรรมเป็นเรื่องยาก ลำพังจะให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องยาก
ในรายงานกองทุนการเงินระหว่างชาติ (IMF) เคยระบุว่า ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถทำให้ความเหลื่อมล้ำน้อยลง จะทำให้การเศรษฐกิจเติบโตยาวนานขึ้น ขณะที่องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ถ้าเราสามารถทำให้คนจนที่สุดที่เป็น 20% ท้ายสุดของประเทศ มีรายได้เพิ่มขึ้น 1% ก็จะทำให้จีดีพีทั้งประเทศเติบโต 0.38% ในทางตรงกันข้าม หากทำให้คนที่รวยที่สุดของประเทศ 1% รวยขึ้น จะทำให้การเติบโตจีดีพีลดลง 0.08% และหากประเทศใดทำให้ค่าความเหลื่อมล้ำลดลง 1% รายได้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5,000 บาท
ความเหลื่อมล้ำทำให้เศรษฐกิจที่เติบโตไว เนื่องจากเงินออมไปกองที่คนกลุ่มเดียว แต่มีข้อเสียคือ จะทำให้ตลาดการเงินไม่สมดุล กระจุกตัว ปัญหาที่ตามมาคือ มีโอกาสที่จะให้เกิดความเสี่ยงเช่นการเป็นหนี้เสีย หรือวิกฤติการเงินตามมา สอง การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์จะลดลง ปัจจุบันเด็กที่จนสุดท้ายของประเทศไม่ถึง 40% ที่เรียนจบระดับมัธยม และสามส่งผลให้แรงกดดันทางการเมืองมาก นำไปสู่การพัฒนานโยบายที่ตอบโจทย์ระยะสั้น จึงไม่ยั่งยืน
นอกจากนั้น ยังกล่าวถึงปัจจัยเอื้อที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ประเด็นแรกคือ ระบบคุ้มครองทางสังคมที่ไม่เชื่อมโยง ซ้ำซ้อน และยังมีการตกหล่นอีกมาก ประเด็นสองคือ การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ที่มากขึ้น ประเด็นที่สามคือ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากความแตกต่างเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี จากการเข้าถึงเทคโนโลยีของคนเฉพาะกลุ่ม ประเด็นที่สี่คือ การสร้างงานเพื่อความยั่งยืนในอนาคตที่รองรับสังคมที่เป็นธรรมยังไม่มี Frame Work หรือกรอบแผนขับเคลื่อน และประเด็นที่ห้าในเรื่องระบบข้อมูลยังมีปัญหา โดยปัจจุบันยังขาดการเข้าถึงข้อมูลของรัฐ ขาดการวิเคราะห์ และการเกิดวิจัยเชิงทดลองในแง่นโยบาย