“สุวัจน์“ ชี้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คือจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย

“สุวัจน์“ ชี้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คือจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย

อดีตรองนายกฯ “สุวัจน์“ ชี้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คือ จุดแข็งของเศรษฐกิจไทย ขับเคลื่อน GDP สร้างงาน สร้างรายได้มหาศาล รับเทรนต์ “เวลเนสทัวริซึ่ม” ทั่วโลก

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม เวลา 17.00 น. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดตัว “CHELAVA Wellness Hua Hin (เชวาลา เวลเนส หัวหิน)” ที่ศูนย์การค้าบูลพอร์ต หัวหิน โดยร.ร.อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท” ร่วมกับ ทีมแพทย์เฉพาะทางแถวหน้าวงการสุขภาพและความงามรุกตลาดเวลเนสระดับพรีเมียมหัวหิน ปักหมุด “หัวหิน” ฮับใหม่ Medical Tourism รับเทรนด์ “เวลเนส ทัวริซึ่ม” ทั่วโลก 

“สุวัจน์“ ชี้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คือจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย

นายสุวัจน์  กล่าวว่าวันนี้เราเดินมาถูกทางที่ให้ความสำคัญเรื่องการท่องเที่ยว คุณหมอพูด เรื่องตลาดการท่องเที่ยวรุ่นใหม่   Wellness & Medical  Tourism เป็นเรื่องที่ดี่ ถ้าเราดูโครงสร้างทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศวันนี้เรามีนักท่องเที่ยวก่อนโควิด 40 ล้านคน เฉลี่ยคนหนึ่งจะอยู่ประมาณ 10 วัน  วันหนึ่งจะใช้เงินประมาณ 5,000 บาท  เฉลี่ยนักท่องเที่ยวใช้จ่ายต่อคนประมาณ 50,000 บาท เอามาคูณ 40 ล้านคน ก็คือ 2 ล้านล้าน เทียบกับ GDP 15 ล้านล้าน ก็คือ 15 % ของ GDP นี้คือรายได้จากการท่องเที่ยวที่ทำให้เศรษฐกิจไทยดีมากก่อนเกิดโควิด ซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวจะมีช้อปปิ้ง ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อาหาร สินค้าโอทอป หลังจากนั้น การท่องเที่ยวมีอีกแบบ คือ การท่องเที่ยวแล้วมาประชุม mice พอเราเริ่มแบ่งการท่องเที่ยวแบบชัดเจน รายได้การท่องเที่ยวก็มีเพิ่มขึ้น เพราะจะมีคนทำการท่องเที่ยวแต่ละด้าน  คือ ท่องเที่ยวทั่วไปจะมาอยู่  10 วัน  วันหนึ่งใช้ 5,000 บาท 10 วันก็ 50,000 บาท แต่คนที่มาท่องเที่ยวแบบ mice เฉลี่ยจะอยู่ 5 วัน แต่ใช้วันละ 15,000 บาทใช้มากกว่ามาท่องเที่ยวปกติ พอมี Product การท่องเที่ยวอีกอย่างจะทำให้มีการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวสูงขึ้น 

“สุวัจน์“ ชี้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คือจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย

“วันนี้ น่าจะมีการท่องเที่ยวอีกแบบ แบบที่ 3 คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ  แบบ Medical &  Wellness  ซึ่งคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้าตัวเลขการท่องเที่ยว Wellness  & Medical  Tourism ทั่วโลกประมาณ 7 ล้านล้านเหรียญ ถ้าคิดตัวเลขเงินไทยตอนเงินบาทอ่อน 37 บาทต่อดอลลาร์ คูณจะได้ประมาณ 250 ล้านล้านบาท สมมุติเราขอแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 2.5 ล้านล้านก็จะได้เท่ากับการท่องเที่ยวปัจจุบันของเราเลย เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดการท่องเที่ยวในเชิง Wellness & Medical  Tourism ถือว่าเป็นโครงสร้างใหม่ทางเศรษฐกิจที่อยู่บนจุดแข็ง ที่น่าสนใจเพราะ Wellness & Medical  Tourism ต้องมีพื้นฐานที่สำคัญ 2 อย่าง คือ 1.ต้องมีสาธารณสุขที่เข้มแข็ง  2.ต้องมีระบบการท่องเที่ยวพื้นฐานที่เข้มแข็ง ซึ่งเรามีทั้งสองอย่างถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยและมีวิกฤติกัน 2 ปี แต่ต้องยอมรับว่า เราได้รับคำชมเชย จากนานาชาติ ระดับหนึ่งว่าประเทศไทย สาธารณสุขทางการแพทย์เข้มแข็ง และนั่นคือ โอกาส และเราเหมือนได้ Certificates  
บอกว่าเมืองไทยการแพทย์เราเข้มแข็งและก่อนโควิดจะมา Tourism เราก็มี Certificates อยู่แล้วว่าเราเข้มแข็ง แล้วทำไม เราไม่เอา Medical มาบวกกับ Tourism แล้วมาทำให้เป็น Medical & Wellness คือ การเอาการแพทย์ที่อยู่ในตึก เอาการแพทย์ที่รักษาเราเจ็บป่วยมาเป็นการแพทย์แบบ preventive Maintenance มาอยู่ตามเมืองท่องเที่ยว การบำรุงรักษาสุขภาพ 
มาสร้าง Wellness ให้ร่างกายแข็งแรง คือ เราเอาจุดแข็งทั้งสองอย่างมาเป็น Product อันที่ 3 ของการท่องเที่ยวของประเทศ แล้วตั้งเป้า ว่าตลาดท่องเที่ยวทั่วไปได้เท่าไหร่   ตลาด mice ได้เท่าไหร่  และ Medical & Wellness ได้เท่าไหร่ แล้วเอา 3 ตัวมาร่วมกัน ผมว่าไม่ใช่ 20 % ของ GDP อาจจะขึ้น 30-40% ของ GDP โดยเฉพาะเราเป็นประเทศสมาชิกเอเชียแปซิฟิก และสิ้นปีนี้ก็จะมาประชุมที่ประเทศไทย ถ้าเราใช้เวทีที่รัฐบาลได้เป็นเจ้าภาพ ให้ประเทศเพื่อนบ้าน ได้เห็นธุรกิจทางด้าน Medical & Wellness จะเป็นโอกาสสำคัญของเศรษฐกิจไทย และนำรายได้เข้าประเทศ” นายสุวัจน์  กล่าวและย้ำว่า

“สุวัจน์“ ชี้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คือจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย

“เรามีหลายที่อย่าง ภูเก็ต  สมุย  เขาใหญ่  โอโซนวังน้ำเขียว  เชียงใหม่  เราไม่ใช่แค่มีจุดเข้มแข็งทางการแพทย์ เรามีจุดแข็งมีโลเคชั่น และมีโลจิสติกส์ ที่รองรับให้เกิดสิ่งนี้ ทำอย่างไร ให้เราเกิดมี Creative Economy นำจุดแข็งมาร่วมกัน และนำมาบริหารจัดการ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องลงทุนใหม่ ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เรามีมรดกบรรพบุรุษมอบไว้ให้อยู่แล้ว  วัฒนธรรม และ Soft Power  ทะเลความสวยงาม ธรรมชาติก็มีอยู่แล้ว  ความเป็นประเทศท่องเที่ยว รอยยิ้มของคนไทยก็มีอยู่แล้ว  ลงทุนก็ไม่เยอะเพียงแค่ ใช้การบริหารและจัดการ “

นายสุวัจน์ กล่าวว่า Wellness &  Medical  Tourism จะทำให้เกิดการสร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ หรือธุรกิจ เอสเอ็มอี ใหม่ๆ  ที่จะเกิดขึ้นในระบบ Medical & Wellness อีกเยอะและเป็นโอกาสในการขยายไปตามหัวเมืองต่างๆ ที่มีพื้นฐานในด้านเรื่องสุขภาพ  โดยเฉพาะเมืองหัวหิน  เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในสายตาชาวโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยศักยภาพและความพร้อมที่สามารถพัฒนาสู่การเป็น”ไทยแลนด์ริเวียร่า”แหล่งท่องเที่ยวและที่พักตากอากาศริมฝั่งทะเลที่มีความหูรหรา มีคุณภาพ และมีความหลากหลายระดับเวิลด์คลาส เช่นเดียวกับริเวียร่า แหล่งท่องเที่ยวตอนใต้ของฝรั่งเศส เพราะหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งกำลังเป็นเมกะเทรนด์ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

“การเปิดตัว”เชวาลา เวลเนส หัวหิน” ถือเป็นการนำเสนอภาพใหม่ เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเมือง Wellness ของโลก และหัวหินเป็นเมือง Wellness อย่างแท้จริง พร้อมตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในทุกมิติ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถยกระดับการท่องเที่ยวในเมืองหัวหินสู่ระดับนานาชาติ ส่งผลถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายสุวัจน์ กล่าว