'สุขภาพ'สินทรัพย์ใหม่ 3 เจนลงทุน ‘เวลเนส-ลองจิวิตี้’เมกะเทรนด์ปี 69

ส่อง 3 เมกะเทรนด์ “เฮลท์&เวลเนส” ปี 2569 “สุขภาพ” สินทรัพย์ใหม่ เพิ่ม “เฮลท์สแปน” ดันจีดีพีขยับ เปิด 5 ธุรกิจเวลเนส-ลองจิวิตี้ เติบโตสูง คนไทย “3 Gen” แห่ลงทุน GenZ สายทดลอง GenY ลงทุนสูง GenX พร้อมจ่ายบริการลองจิวิตี้มากสุด หนุนไทยประกาศสถานะ “Wellness Hub โลก”
KEY
POINTS
- 3 เมกะเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ใหญ่ๆ ได้แก่ Precision Medicine,การแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนอวัยวะด้วย Xenotransplantation และ 3.Wellness Economy
- 5 เทรนด์ธุรกิจเวลเนสและลองจิวิตี้ที่เติบโตสูงในปี 2569 คือ Wellness Real Estate ,Mental Wellness ,Wellness Tourism and Retreat ,สมุนไพรและ Functional Food และ 5.การท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ
- สุขภาพจะไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ใช่แค่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่ถูกยกระดับเป็น asset class ใหม่ ที่มีพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของโลก
ข้อมูลจาก Global Wellness Institute (GWI) ระบุว่า ตลาดเวลเนส (Wellness) ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 6.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตเป็น 9.8 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.6% ต่อปี สูงกว่าการเติบโตของจีดีพี (GDP) โลก ที่คาดไว้ 4.5% คิดเป็น 60% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั่วโลกขนาด 11.2 ล้านล้านดอลลาร์
ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการก้าวสู่ผู้นำเศรษฐกิจสุขภาพในเวทีโลก ถือเป็นดาวรุ่งของเศรษฐกิจสุขภาพที่ทั่วโลกจับตา โดยในช่วงปี 2565 -2566 ประเทศไทยเคยคว้าอันดับ 1 ของโลก ในการเติบโตของตลาด Wellness ที่อัตรา28.4%และมีมูลค่าตลาดสูงถึง 40.5 พันล้านดอลลาร์
สะท้อนแนวโน้มที่น่าสนใจว่าผู้บริโภคมองสุขภาพเป็นเรื่องต้องลงทุนระยะยาว ไม่ใช่แค่การรักษาเมื่อเจ็บป่วย ทำให้ “สุขภาพ” กลายเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งในอนาคตความมั่งคั่งของชาติอาจไม่ได้วัดจากตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียวแต่จะวัดกันที่สุขภาวะมวลรวมของประชากรตามแนวคิด Health is the New Wealth ฉะนั้นปี 2569 จึงเป็นโอกาสไทยที่จะขับเคลื่อนธุรกิจเวลเนสและลองจิวิตี้ (Longevity) โดยเฉพาะที่เป็นดาวเด่นเติบโตสูง รองรับเมกะเทรนด์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ระวัง! ‘แอลกอฮอล์เป็นพิษ’ ปีใหม่นี้ ดื่มสนุกแต่พอดี ลดพิษในร่างกาย
3 เมกะเทรนด์เฮลท์-เวลเนส
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า 3 เมกะเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ใหญ่ๆ ที่โลกกำลังเผชิญ ซึ่งหากรับมือได้จะกลายเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ประกอบด้วย
1.การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine)อนาคตของการแพทย์ไม่ได้อยู่ที่การรักษาเมื่อป่วย แต่อยู่ที่การป้องกันก่อนเจ็บป่วยและการรักษาเฉพาะบุคคล
2.การแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนอวัยวะด้วย Xenotransplantation แก้ปัญหาการขาดแคลนอวัยวะสำหรับการปลูกถ่าย (Organ Shortage Crisis) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำอวัยวะจากสัตว์โดยเฉพาะหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมมาใช้ในการปลูกถ่ายให้กับมนุษย์ ช่วยลดระยะเวลาการรอคอยอวัยวะ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย และลดภาระค่าใช้จ่ายดูแลผู้ป่วยระยะยาว
และ 3.Wellness Economy ในปี 2569 คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของ Wellness Economy จากเดิมที่เน้น “การรักษาผู้ป่วย” ไปสู่ “การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness & Preventive Care)” ทั้งดูแล ป้องกัน รักษา ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแบบครบวงจร
ประกาศไทย Wellness Hub ระดับโลก
นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2569 ไทยต้องประกาศอย่างชัดเจนว่าเป็น Wellness Hub ระดับโลก ซึ่งการที่ไทยจะเป็น Medical Hub จะเป็นการมุ่งเน้นไปที่รักษาคนป่วย แต่แตกต่างกับ Wellness Hub ที่เน้นการดูแล คนไม่ป่วย ซึ่งถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่ามาก เนื่องจากประชากรโลกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ไม่ป่วย
“การนำทั้งสองคำมาผูกรวมกัน อาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ดังนั้น รัฐบาลมีการขับเคลื่อนเป็นธีมระดับประเทศ เช่น Wellness Hub Thailand จะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้มาก โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของโลกด้าน Wellness Tourism เป็นต้น”
ธุรกิจ Wellness เติบโตสูงปี 69
กลุ่มธุรกิจเวลเนสและลองจิวิตี้ที่เติบโตสูงในปี 2569 มี 5 เทรนด์ที่น่าสนใจ ได้แก่
1. Wellness Real Estate การสร้างโรงแรม คอนโดมิเนียม หรือบ้านที่เน้นสุขภาพและความอยู่ดี
2. Mental Wellness ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและการนอนหลับ ปัจจุบันโต 12.2% เช่น การขายเตียง หมอน โคมไฟ หรือแอปพลิเคชันนั่งสมาธิ
3. Wellness Tourism and Retreat การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพักผ่อน
4.สมุนไพรและ Functional Food (อาหารสุขภาพ)ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์
และ 5.การท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ อย่าง การปฏิบัติธรรม วิปัสสนา นั่งสมาธิ เป็นต้น
“สุขภาพ” สินทรัพย์เคลื่อนเศรษฐกิจ
“ปี 2569 สุขภาพจะไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ใช่แค่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่ถูกยกระดับเป็น asset class ใหม่ ที่มีพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของโลก ใครออกแบบระบบสุขภาพเชิงป้องกันได้ก่อน คนนั้นได้เปรียบ”
นพ.ตนุพล กล่าวอีกว่า ประเทศที่ Wellness economy เติบโตเร็วที่สุด จะเพิ่มช่วงอายุที่มีสุขภาพดี (Healthspan) ของประชาชนได้ ก็ทำให้ GDP โตเร็วที่สุด โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) ชี้ว่าลงทุน 1 ดอลลาร์ในระบบป้องกันสุขภาพ จะได้กลับมา 35 ดอลลาร์สอดคล้องกับงานวิจัย ที่พบว่าการลงทุนด้านสาธารณสุขให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 14.3 เท่า นั่นหมายถึงประเทศที่ลงทุนสุขภาพก่อน จะเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วกว่าชาติที่เน้นรักษาปลายเหตุ
คนทุกวัยลงทุนดูแลสุขภาพ
นายประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญทั้งในเชิงโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภคซึ่งเป็นผลมาจากการกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประกอบกับคนรุ่นใหม่ที่เริ่มหันมาใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิตเพื่ออายุที่ยืนยาวมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงอยู่ได้นานแต่ยังต้องอยู่ได้ดี ทำให้แนวคิดเรื่อง Longevity หรือการมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพกลายเป็นเทรนด์สำคัญที่น่าจับตาและส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดผู้บริโภคอย่างมหาศาล
CMMU ได้มีการทำงานวิจัย “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” โดยสำรวจพฤติกรรม ค่านิยม แรงจูงใจ ไลฟ์สไตล์ ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการด้านสุขภาพของคนไทยในแต่ละช่วงวัย ไปจนถึงความสนใจและความพร้อมในการใช้บริการ Longevity พบว่า
Gen Z จัดเป็นกลุ่ม “ผู้ปรับตัวเร็ว” ที่เติบโตมากับโลกดิจิทัลและเปิดรับเทรนด์ใหม่ก่อนใคร นิยมค้นหาข้อมูลสุขภาพผ่านโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในด้านการบริโภค โดยมีค่าใช้จ่ายด้านอาหารสุขภาพเฉลี่ย 262 บาทต่อมื้อ วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเฉลี่ย 2,592 บาทต่อเดือน
ด้านออกกำลังกาย นิยมวิ่งมากที่สุด และมี 61.99% ที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ ในด้านดูแลสุขภาพจิต Gen Z 33.83% นิยมผ่อนคลายผ่านงานอดิเรกและกิจกรรมพักใจมากที่สุด ส่วนความสนใจต่อบริการ Longevity ให้ความสนใจและพร้อมจ่ายน้อยกว่าเจนอื่น
Gen X -Gen Y สนใจบริการ Longevity
Gen Y มีบทบาทเป็น “นักลงทุนในสุขภาพของตนเองอย่างสมดุล” และเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงที่สุด โดยมีพฤติกรรมการหาข้อมูลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลักเช่นเดียวกับ Gen Z ด้านการบริโภค พบว่า Gen Y ใช้จ่ายด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูงถึง 4,608 บาทต่อเดือน และมีค่าใช้จ่ายด้านอาหารสุขภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับเจเนอเรชันอื่น เฉลี่ย 320 บาทต่อมื้อ ด้านการออกกำลังกาย จัดเป็นกลุ่มที่มีวินัยสูง โดย 81.99% ของ Gen Y ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ เป็นเจเนอเรชันที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคมากที่สุด
ด้านดูแลสุขภาพจิต Gen Y 32.50% มีงานอดิเรกและพักผ่อนจิตใจ ในขณะที่การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูสุขภาพจิตได้รับความสนใจรองลงมา และความสนใจต่อบริการ Longevity แม้ Gen Y จะไม่ใช่กลุ่มที่มีระดับความสนใจในบริการนี้สูงที่สุด แต่กลับเป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายสูงสุด โดยเฉพาะบริการ Longevity Retreat ซึ่งยินดีจ่ายเฉลี่ยสูงกว่าทุกเจนถึง 25,000 บาทต่อครั้ง
ส่วน Gen X ถูกนิยามให้เป็น “ผู้รักษาสมดุลสุขภาพ” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนและมีความเชื่อมั่นในข้อมูลสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น คลินิกหรือโรงพยาบาล มากกว่าช่องทางดิจิทัล ด้านการบริโภค Gen X เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูงที่สุด เฉลี่ย 4,846 บาทต่อเดือน และมีค่าใช้จ่ายด้านอาหารสุขภาพเฉลี่ย 297 บาทต่อมื้อ
ด้านการออกกำลังกาย จัดเป็นกลุ่มที่มีระเบียบวินัยสูงสุด โดย 91.34% ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ และนิยมเลือกการเดินหรือเดินเร็ว ด้านสุขภาพจิต Gen X 32.46% ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางศาสนามากที่สุด และยินดีจ่ายเพื่อกิจกรรมสร้างความสงบทางจิตสูงสุด เฉลี่ย 13,993 บาทต่อครั้ง อีกทั้ง Gen X ยังเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจต่อบริการ Longevity สูงที่สุด และมีความพร้อมในการใช้จ่าย โดยเฉพาะ Longevity Center พร้อมจ่ายสูงที่สุดถึง 4,061 บาทต่อครั้ง







