'อดมื้อเช้า=พัง' โทษมหันต์ต่อร่างกายที่คุณอาจมองข้าม

'อดมื้อเช้า=พัง' โทษมหันต์ต่อร่างกายที่คุณอาจมองข้าม

ด้วยสภาวะที่เร่งรีบในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมืองหลวง หรือจังหวัดใหญ่ ๆ ทั้งผู้ใหญ่วัยทำงาน และนักเรียน นักศึกษา มักจะไม่รับประทานอาหารเช้า

KEY

POINTS

  • "มื้อเช้า" เป็นมื้ออาหารที่สำคัญ แต่ด้วยภาวะเร่งรีบในชีวิตประจำวัน ทำให้หลายๆ คนอาจจะไม่ได้ทานอาหารเช้า และนั่นอาจส่งผลต่อสุขภาพ
  • ผลเสียของการไม่ทานอาหารเช้า อาจทำให้เราเสี่ยงสมองเสื่อมได้ และโรคสมองเสื่อม ไม่ได้ขึ้นกับอายุ 
  • อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อาทิ โจ๊ก ข้าวต้ม ข้าวไข่เจียว  สลัดทูน่า/ไก่ ขนมปังธัญพืช ซีเรียล นมจืด แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียม ไขมัน หรือน้ำตาลสูง รวมทั้งการปิ้ง ย่าง โดยไม่ผ่านภาชนะ

ด้วยสภาวะที่เร่งรีบในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมืองหลวง หรือจังหวัดใหญ่ ๆ ทั้งผู้ใหญ่วัยทำงาน และนักเรียน นักศึกษา มักจะไม่รับประทานอาหารเช้า อาจจะบริโภคเครื่องดื่มในปริมาณเล็กน้อย เช่น กาแฟ หรือน้ำหวาน 1 แก้ว เพื่อที่จะไปออฟฟิศ สถานศึกษาให้ทันเวลา หลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย อีกทั้งการรับประทานอาหารเพื่อชดเชยในมื้อถัดไป ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะมีความเสี่ยงต่อน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือภาวะอ้วนได้

ร่างกายของมนุษย์ในเวลานอนหลับ จะมีไกลโครเจนที่อยู่ในบริเวณตับ และกล้ามเนื้อ คอยทำหน้าที่รักษาระดับน้ำตาลในโลหิตไม่ให้ต่ำลงผิดปกติ ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรส่วนบุคคลในช่วงเวลาเช้าแล้ว ควรรับประทานอาหาร เพื่อเพิ่มพลังงาน หากไกลโครเจน ถูกใช้ไปจนหมด ร่างกายจะนำกรดไขมันมาเป็นพลังงาน ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทำให้เกิดการอ่อนเพลีย อ่อนล้า การรับรู้ หรือทำงานต่างๆ ได้ไม่เต็มที่ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

บอกลาเวอร์ชั่นเก่า เปิดสเต็ปลงทุนสุขภาพกาย-ใจให้ปังรับปี 2569

2 ใน 3 คนไทยเครียดไม่รู้ตัว ทำร้ายชีวิต ‘คนวัยทำงาน’ ชวนดูแลสุขภาพใจ

ประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้า

  • กระตุ้นสมอง
  • ช่วยให้มีสมาธิที่ดี
  • การจดจำดีขึ้น
  • สามารถควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งความหิว
  • ร่างกายสดชื่น
  • ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น หัวใจ เบาหวาน โรคสมองเสื่อม

ผลเสียจากการไม่รับประทานอาหารเช้า

 ภาวะผิดปกติของร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพ ได้แก่

  • อัตราการเผาผลาญลดลง
  • ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไปเลี้ยงสมองไม่พอ
  • การทำงานของสมองไม่มีประสิทธิภาพ
  • สารอาหารไม่เพียงพอ
  • ไขมันในเลือดสูง
  • การเจริญเติบโตไม่เต็มที่
  • มีกลิ่นปาก
  • หงุดหงิดง่าย

 ความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ

  • โรคเส้นเลือดในสมอง
  • โรคหัวใจ 
  • เบาหวาน 
  • อัลไซเมอร์
  • อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ความดันในโลหิตสูง

ไม่กินข้าวเช้า เสี่ยงโรคสมองเสื่อมจริงหรือ!

เคยสงสัยไหมว่าทำไมอาหารเช้าถึงขึ้นชื่อว่าเป็น “มื้อสำคัญที่สุดของวัน” หลายคนอาจมองข้ามมื้อเช้าเพราะเร่งรีบหรือไม่สะดวก แต่รู้หรือไม่ว่า การไม่กินข้าวเช้าอาจเสี่ยงต่อการเกิดสมองเสื่อมได้ ! และการละเลยมื้อเช้าไม่เพียงแค่ทำให้พลังงานแก่ร่างกายไม่เพียงพอ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสมองในระยะยาวอีกด้วย เพราะฉะนั้น มาดูกันว่าการ ไม่กินข้าวเช้า เสี่ยงสมองเสื่อม จริงหรือไม่ ?

สมองเสื่อมน่ากลัวอย่างไร ?

นพ.ศรัณย์ ธนพฤฒิวงศ์  สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลสมอง อธิบายผ่าน “Rama Channel” ว่า เสื่อมเป็นโรคที่ใกล้ตัว ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน หรือวัยรุ่น โรคสมองเสื่อมไม่ควรมองข้าม เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความจำ การตัดสินใจ และการทำงานของสมองในด้านต่าง ๆ

ทำไมต้องตระหนักถึง โรคสมองเสื่อม 

การรักษาอาการสมองเสื่อมทำได้ยากและซับซ้อน เนื่องจากยังไม่มีวิธีการรักษาที่สามารถฟื้นฟูสมองให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างสมบูรณ์ การรักษาส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การชะลอการเสื่อมของสมองและการจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ทั้งจากผู้ป่วยเองและผู้ดูแล

อาการของโรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อม เป็นกลุ่มของอาการที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของสมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการคิด ความจำ และการทำกิจวัตรประจำวัน อาการของโรคสมองเสื่อมสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทและมีผลกระทบที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ความจำเสื่อมหลงลืมสิ่งต่าง ๆ

  • ลืมเหตุการณ์ล่าสุด : ผู้ป่วยอาจลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือข้อมูลที่เพิ่งได้รับ
  • ลืมชื่อคนใกล้ชิด : อาจจำชื่อคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทไม่ได้

ความสามารถในการคิดและตัดสินใจลดลง

  • การวางแผนและการแก้ปัญหา : มีปัญหาในการวางแผนหรือแก้ปัญหาที่เคยทำได้ง่าย
  • การตัดสินใจ : ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องที่เคยทำได้ดี เช่น การใช้เงิน

การสื่อสารและการใช้ภาษา

  • ลืมคำศัพท์ : อาจลืมคำศัพท์ที่ใช้บ่อยหรือใช้คำผิด
  • การสนทนา : มีปัญหาในการติดตามการสนทนาหรือการพูดคุย

หลงทางจำทางไม่ได้

  • หลงทาง : อาจหลงทางในที่ที่คุ้นเคย
  • การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและบุคลิกภาพ
  • อารมณ์แปรปรวน : อาจมีอารมณ์แปรปรวนหรือหงุดหงิดง่าย
  • การเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพ : อาจมีการเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพ เช่น กลายเป็นคนเก็บตัวหรือก้าวร้าว

อาการสมองเสื่อมมีผลกระทบต่อชีวิตอย่างไร ? 

การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน

การทำงาน : ผู้ป่วยอาจไม่สามารถทำงานที่เคยทำได้ดี

การทำกิจวัตรประจำวัน : มีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การจัดยา การจัดการด้านการเงิน การขับรถ การทำอาหาร การแต่งตัว การดูแลความสะอาดร่างกาย

ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

ครอบครัวและเพื่อน : ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนอาจเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการสื่อสารและการเข้าใจที่ลดลง

การดูแล : ผู้ป่วยอาจต้องการการดูแล และความเข้าใจจากคนรอบข้างมากขึ้น

สุขภาพจิตและอารมณ์

ความเครียดและความวิตกกังวล : ผู้ป่วยอาจรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการของตนเอง

ภาวะซึมเศร้า : อาจมีภาวะซึมเศร้าหรือความรู้สึกสิ้นหวัง

ความปลอดภัย

อุบัติเหตุ : มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ เช่น การหกล้ม การหลงทาง หรืออาจจะสูญหายจากบ้าน

โรคสมองเสื่อม เกิดจากสาเหตุใด ? 

โรคสมองเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนและมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น มาดูกันว่าแต่ละสาเหตุมีอะไรบ้าง

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) สาเหตุของโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งพบได้ถึง 60-70% ของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด โรคอัลไซเมอร์ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติในสมอง ทำให้เซลล์สมองเสื่อมสภาพและตายไปในที่สุด

โรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตก มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคสมองเสื่อม เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น ส่งผลให้เซลล์สมองเกิดเสียหายและตายตามมา

สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม

ประมาณ 10% ของผู้ป่วย ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป : การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไปมีผลระยะยาวต่อสมอง

โรคประจำตัว : โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง หากไม่ได้รับการรักษาในช่วงวัยกลางคน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมในวัยสูงอายุ

พันธุกรรม :  ก็เป็นอีกปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากมียีนที่มีความเสี่ยง จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อม

การใช้สมอง บริหารสมอง : คนที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อมน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาต่ำกว่า เนื่องจากการใช้สมองอย่างต่อเนื่องช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของสมอง

ไม่กินข้าวเช้า ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม จริงหรือ ? 

การไม่กินอาหารเช้าอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผลกระทบที่ตามมาอาจใหญ่กว่าที่คิด มีการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นที่ติดตามคนจำนวนมากในโอซาก้า พบว่า ‘การไม่กินข้าวเช้าเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน โรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ซึ่งทั้งสามโรคนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคสมองเสื่อมอย่างชัดเจน’

อ้างอิงจากการศึกษา การศึกษานี้ยังพบว่าคนที่ ไม่กินข้าวเช้าเสี่ยงสมองเสื่อม เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ ส่งผลให้สมองขาดพลังงานที่จำเป็นในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การไม่กินอาหารเช้ายังทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างและปกป้องสมอง

การกินอาหารเช้าสำคัญอย่างไร ?

การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อาหารเช้าที่ดีควรประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต ผลไม้ และถั่วต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่ แต่ยังช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมในระยะยาว

ป้องกันการเกิด โรคสมองเสื่อม

การป้องกันโรคสมองเสื่อมไม่ใช่เรื่องยาก หากรู้จักดูแลสุขภาพสมอง มาดูกันว่ามีวิธีใดบ้างที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อม

  • กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์

การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญ อาหารเช้าที่ดีควรประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น การออกกำลังกายความหนักระดับกลางอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือปั่นจักรยาน จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อม

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูสมองและร่างกาย ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน การนอนหลับที่ดีจะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ฝึกสมองอย่างต่อเนื่อง

การฝึกสมองด้วยกิจกรรมที่ท้าทาย เช่น การอ่านหนังสือ เล่นเกมปริศนา หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของสมอง

  • ดูแลสุขภาพจิต

การดูแลสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญ ควรหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว การมีสุขภาพจิตที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อม

  • รักษาโรคประจำตัว

หากมีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเส้นเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามรักษาอย่างต่อเนื่อง

การเริ่มดูแลสุขภาพสมองตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การกินอาหารเช้าที่ดีและมีประโยชน์เป็นหนึ่งในวิธีซึ่งสามารถช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดสมองเสื่อมได้ อาหารเช้าที่มีสารอาหารครบถ้วนจะช่วยเสริมสร้างสมอง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมองในระยะยาว การดูแลสุขภาพสมองไม่ใช่เรื่องยาก หากเราเริ่มต้นด้วยการใส่ใจในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การกินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้สมองมีสุขภาพที่ดี และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดชีวิต

การเริ่มดูแลตัวเอง ควรตระหนักและเริ่มเลยทันที เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา และการมีสมองที่แข็งแรงจะช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และมีความสุขในทุก ๆ วัน อย่างไรก็ตามหากพบว่าความจำของท่านหรือคนที่ท่านรักเริ่มแย่ลง อย่าลืมมาพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะสามารถช่วยรักษาหรือชะลอการดำเนินไปของโรคสมองเสื่อมได้

เช้านี้ รับประทานอะไรดี

ปริมาณแคลอรีอาหารมื้อเช้า สำหรับบุคคลทุกเพศ ทุกวัย ควรอยู่ที่ 400-450 กิโลแคลอรี ผ่านกรรมวิธีที่ปรุงสุก สด สะอาด ให้คุณประโยชน์จากสารอาหารที่หลากหลาย โดยมีเมนูแนะนำ เช่น

  • โจ๊ก
  • ข้าวต้ม
  • ข้าวไข่เจียว 
  • ข้าวผัดอเมริกัน
  • สลัดทูน่า หรือไก่
  • แซนด์วิชปลา 
  • ขนมปังธัญพืช
  • ซีเรียล
  • นมจืด

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียม ไขมัน หรือน้ำตาลสูง รวมทั้งการปิ้ง ย่าง โดยไม่ผ่านภาชนะ

  • หมูปิ้งติดมัน
  • ตับย่างแบบไหม้เกรียม
  • ไก่ทอด
  • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  • พิซซ่า
  • เบคอน
  • ข้าวกล่องที่ผ่านไมโครเวฟ ตามร้านสะดวกซื้อ
  • ปลากระป๋อง 
  • เค้ก
  • ไอศกรีม
  • น้ำผลไม้บรรจุขวดที่มีการใส่สี แต่งกลิ่น
  • น้ำอัดลม

อย่างที่ทราบกันว่ามื้อเช้าเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นควรปรับเวลาตื่นนอนให้เหมาะสม เพื่อมาจัดเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายปลอดภัยจากโรค หรือภาวะผิดปกติต่างๆ อีกทั้งควรเลือกวัตถุดิบให้ถูกตามหลักโภชนาการ รับประทานอย่างไม่เร่งรีบ ในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงภาชนะที่ใช้ควรมีความสะอาด ขนาดพอดีกับอาหาร

อ้างอิง: Rama Channel ,โรงพยาบาลเพชรเวช