ดูแลสุขภาพ ฮีลใจ 'คุณพ่อ' ให้แข็งแรง สิ่งที่ทุกคนทำได้ง่ายๆ

ดูแลสุขภาพ ฮีลใจ 'คุณพ่อ' ให้แข็งแรง สิ่งที่ทุกคนทำได้ง่ายๆ

"การดูแลพ่อแม่" เป็นหน้าที่ของลูกทุกคน และมองว่าเป็นเรื่อง "ความรัก" และ "ความกตัญญู" ที่มีต่อผู้มีพระคุณ

KEY

POINTS

  • โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น 
  • เมื่ออายุมากขึ้น พ่อแม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย สมอง อารมณ์ และจิตใจ ในวัยสูงอายุมักจะมีโรคที่พบได้บ่อย เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง และภาวะสมองเสื่อม
  • ลูกๆสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพ่อแม่ พาไปตรวจสุขภาพประจำปี ดูแลเรื่องอาหารการกิน การนอนหลับ ปรับบ้านให้เหมาะสม และดูแลสมอง จิตใจของพ่อแม่

"การดูแลพ่อแม่" เป็นหน้าที่ของลูกทุกคน และมองว่าเป็นเรื่อง "ความรัก" และ "ความกตัญญู" ที่มีต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งปัจจุบันโครงสร้างประชากรแตกต่างไปจากเดิม "ครอบครัวเดี่ยว" "พ่อเลี้ยงเดี่ยว" "แม่เลี้ยงเดี่ยว" มีมากขึ้น 

จากการคาดประมาณสัดส่วนประชากรในครัวเรือนประเภทต่าง ๆ พ.ศ.2563-2583  พบว่าครอบครัวไทยมีแนวโน้มที่มีความเปราะบางเพิ่มขึ้น ในประชากรวัยเด็กพบว่า ครัวเรือนพ่อแม่และลูกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 45.5 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 35.2 ในปี 2562 และในอีก 20 ปีข้างหน้าครัวเรือนพ่อแม่และลูกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 31 ซึ่งแนวโน้มการลดลงได้รับอิทธิพลจากภาวะเจริญพันธุ์ระดับต่ำ อายุเฉลี่ยแรกสมรสยาวนานมากขึ้น และการตัดสินใจที่ไม่มีบุตร

นอกจากนี้ยังพบว่าครัวเรือนข้ามรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.9 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 13.7 ในปี 2562 และในอีก 20 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15 ในปี 2583 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'โรคอ้วน' เสี่ยง 'สมองแก่ก่อนวัย' ดูแลสมอง ไม่ใช่เรื่องของคนแก่

10 สิ่งที่ช่วยทำให้ร่างกายหลับสนิท การนอนหลับดีขึ้น

ครัวเรือนพ่อเลี้ยงเดี่ยว -แม่เลี้ยงเดี่ยวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

สำหรับประชากรวัยแรงงาน มีรูปแบบการอยู่อาศัยที่น่าจับตามอง 2 ประเภทที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของครอบครัวในอนาคต คือ

(1) การที่ครัวเรือนคนเดียวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.4 ในปี 2533 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8.1 ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 13.6 ในอีก 20 ปีข้างหน้า

(2) การที่ครัวเรือนพ่อ-แม่-ลูกมีแนวโน้มลดลง จากประมาณร้อยละ 53 ในปี 2533 เหลือประมาณร้อยละ 32 ในปี 2563 และร้อยละ 21 ในอีก 20 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ยังพบว่า ครัวเรือนสามี-ภรรยา (ไม่มีลูก) มีแนวโน้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.5 ในปี 2533 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.1 ในปี 2563 และในอีก 20 ปี ข้างหน้าจะมีครัวเรือนคนเดียวประมาณร้อยละ 15.0 ในปี 2583

ขณะที่ผู้สูงอายุที่อยู่ในครัวเรือนสามรุ่นมีแนวโน้มที่จะลดลงจากร้อยละ 34 ในปี 2554 เป็นร้อยละ 28 ในปี 2560 และเหลือเพียงร้อยละ 22 ในปี 2583 หากนับเฉพาะครัวเรือนที่ลูกไม่ได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้ากัน

ไม่ว่าจะเป็นครัวเรือนพ่อเลี้ยงเดี่ยว ครัวเรือนแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือครัวเรือนข้ามรุ่น พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยครัวเรือนพ่อเลี้ยงเดี่ยวและแม่เลี้ยงเดี่ยวเพิ่มจากประมาณร้อยละ 9 ในปี 2533 มาเป็นประมาณร้อยละ 10.6 ในปี 2563 และร้อยละ 11.2

ในปี 2583 ส่วนครัวเรือนข้ามรุ่นเพิ่มจากร้อยละ 1.1 ในปี 2533 มาเป็นร้อยละ 4.9 ในปี 2563 และร้อยละ 7.7 ในปี 2583 สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือการที่สังคมไทยจะมีเด็กราว 2.3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ  21.8 ของเด็กทั้งหมดอยู่ในครัวเรือนที่ไม่พร้อมหน้านี้ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งภาวะความขัดสนในแง่ต่าง ๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ พัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ และสังคม

ดูแลเอาใจใส่พ่อแม่สูงอายุครบทุกด้าน

รศ.พญ.ภาพันธ์ ไทยพิสุทธิกุล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  อธิบายว่า  การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพ่อแม่สูงวัยทุกวัน คนเป็นลูกอาจรู้สึกเคยชินจนไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่สะท้อนถึงปัญหาสุขภาพก็เป็นได้ 

พ่อแม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย สมอง อารมณ์ และจิตใจ ในวัยสูงอายุมักจะมีโรคที่พบได้บ่อย เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็ง โรคซึมเศร้า และภาวะสมองเสื่อม

การพบปัญหาสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้เราทราบว่าจะต้องเอาใจใส่พ่อแม่ในเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง หรือปัญหาสุขภาพใดมีความจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก็จะไดัรับการรักษาทันท่วงที เพื่อให้ท่านสามารถมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี มีความสุข และมีความภูมิใจในตัวเองที่สามารถใช้ชีวตอยู่อย่างมีอิสระ สามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน

เมื่อสังเกตพ่อแม่วัยสูงอายุ อาจพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายประการดังนี้ 

1. ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย   

  • การมองเห็น เช่น มองเห็นไม่ชัดเจนเหมือนก่อน สายตาเปลี่ยน อาจมีโรคเกี่ยวกับดวงตา 
  • การได้ยิน ต้องพูดคุยด้วยเสียงดังถึงจะได้ยิน  เปิดโทรทัศน์หรือวิทยุเสียงดังขึ้น 
  • การได้กลิ่น ไม่รับรู้กลิ่นของสิ่งต่าง ๆ เหมือนเดิม อาจไม่ได้กลิ่นอาหารบูดเสีย กลิ่นแก๊สรั่ว เป็นต้น 
  • การรับรู้รสชาติ รับประทานอาหารรสจัดขึ้น อาจบอกว่าอาหารจานนั้นจืดทั้ง ๆ ที่รสจัดแล้ว ผู้สูงอายุหลายท่านชอบกินหวานขึ้นมาก บางท่านรู้สึกเบื่ออาหาร 
  • การรับรู้ทางการสัมผัส ผู้สูงอายุหลายท่านหนาวง่ายขึ้น ส่วนความรู้สึกร้อนเย็นเมื่อสัมผัสกับสิ่งของลดน้อยลงไป อาจจับของร้อนจัดแต่ยังไม่รู้สึกร้อนแต่มือพองไปแล้ว    
  • การเคลื่อนไหวและการทรงตัว เช่น เคลื่อนไหวช้าลง หกล้มง่าย
  • อาการเจ็บปวดต่าง ๆ ตามร่างกาย ปวดศีรษะ คอ หลัง แขน ขา ข้อเข่า เป็นต้น  
  • สุขภาพปากและฟัน เช่น มีฟันผุหรือไม่ เหลือฟันใช้งานกี่ซี่ มีแผลหรือความผิดปกติภายในปากหรือไม่ 
  • การย่อยอาหาร เช่น มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือรับประทานอาหารบางอย่างแล้วมีผลต่อการย่อย 
  • การขับถ่าย เช่น ท้องผูก เข้าห้องน้ำบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ 
  • นอนหลับไม่สนิทหรือนอนไม่พอ
  • น้ำหนักลดหรือเพิ่ม 
  • กล้ามเนื้อที่เคยมีลดลง หรือมีไขมันเพิ่มมากขึ้น 
  • เหนื่อยง่าย 
  • เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม
  • เจ็บป่วยบ่อย 

2. ความเปลี่ยนแปลงทางสมองและความจำ 

  • หลงลืมบ่อย ลืมในเรื่องที่ไม่ควรลืม หรือเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน  
  • นึกคำพูดไม่ออก เรียกชื่อสิ่งของไม่ถูก ลืมวิธีใช้สิ่งของที่เคยใช้เป็นประจำ 
  • หลงทางในที่คุ้นเคย
  • ละเลยการดูแลตัวเอง ไม่อาบน้ำสระผม
  • คิดหรือทำอะไรแปลก ๆ เช่น ซ่อนของ นำของวางไว้ในที่ ๆ ไม่ควรอยู่ 
  • ความเปลี่ยนแปลงข้างต้นอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
  • มือสั่น ร่างกายแข็งเกร็ง เคลื่อนไหวลำบาก อาจเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน

3. ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์- เหงา 

  • เศร้าโศกเสียใจง่าย
  • วิตกกังวล
  • มีความเครียด
  • ไม่อยากพบใคร
  • ไม่อยากทำอะไร 
  • ละเลยการดูแลตัวเอง 
  • ละเลยการดูแลบ้าน  ไม่ทำความสะอาด สะสมของจนบ้านรก

คำแนะนำในการดูแลพ่อแม่ในวัยสูงอายุ 

1. เมื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง อาจจดบันทึกเพื่อติดตามดูความเปลี่ยนแปลง ข้อมูลที่บันทึกเป็นประโยชน์ต่อการดูแลและเมื่อต้องพบแพทย์

2. หมั่นสังเกตดูว่าพ่อแม่สูงอายุดูแลตัวเองในด้านต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน การดูแลทำงานบ้าน การทำอาหาร การเดินทาง การดูแลเรื่องเงิน การซื้อของ การรักษาความสะอาดตนเอง การแต่งตัว การกินยา และกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน หากความสามารถเหล่านี้ลดลงอาจสะท้อนถึงปัญหาสุขภาพบางอย่างก็เป็นได้ 

3. พาไปตรวจสุขภาพประจำปี หากพบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะรักษาได้ง่ายกว่า บางโรคเมื่อเป็นแล้วอาจไม่แสดงอาการ ก็จะรักษาได้ทันท่วงที หรือถ้าหากตรวจพบว่ามีโอกาสเสี่ยงเป็นโรค แพทย์สามารถให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ลดโอกาสในการเกิดโรค

4. ดูแลอาหารการกิน 

  • จัดเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณเหมาะสม ให้ได้ครบทั้งห้าหมู่ ไขมันน้อย หวานน้อย เค็มน้อย เคี้ยวง่าย และย่อยง่าย  
  • พ่อแม่สูงอายุที่ดูแลเรื่องอาหารเองหรือยังทำอาหารเอง ลูก ๆ อาจซื้อวัตถุดิบที่เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพเตรียมไว้ให้ หาอุปกรณ์ทำอาหารที่ใช้งานสะดวก เช่น ถ้าปรุงอาหารรับประทานคนเดียว จัดหาอุปกรณ์ทำครัวขนาดเล็กเหมาะกับการปรุงอาหารสำหรับคนเดียว หรือหาเมนูทำอาหารง่าย ๆ ดีต่อสุขภาพไว้ให้ จะได้ไม่เบื่ออาหาร พวกเครื่องเทศสมุนไพรมีกลิ่นรสช่วยปรุงแต่งให้อาหารน่ารับประทานขึ้น
  • แนะนำการอ่านฉลาก เมื่อทราบปริมาณสารอาหารบนฉลาก ผู้สูงอายุสามารถหลีกเลี่ยงการบริโภคสารอาหาร เช่น โซเดียม น้ำตาล ไขมัน หรือสารปรุงแต่งต่าง ๆ เกินความจำเป็น ซึ่งการบริโภคเกินมีโอกาสส่งผลเสียต่อสุขภาพ
  • ผู้สูงอายุบางท่านนิยมใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์เป็นเวลานาน หรือการใช้ร่วมกับยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์  หรือเกิดอันตรายได้
  • ดูแลให้ได้ดื่มน้ำพอเพียงวันละ 6-8 แก้ว โดยจิบทีละน้อยตลอดวันแทนการดื่มคราวละมาก ๆ หากมีโรคบางอย่างเช่น โรคไต หรือโรคหัวใจ ต้องจำกัดการดื่มน้ำ จึงควรดื่มในปริมาณที่แพทย์แนะนำ  

5. ดูแลความแข็งแรงของร่างกาย

  • การออกกำลังกายช่วยสร้างความแข็งแรงรวมทั้งพลังกายและใจให้ผู้สูงอายุ ช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ช่วยการทำงานของปอด หัวใจ และอวัยวะส่วนอื่น ๆ ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงซึมเศร้า สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี   
  • แนะนำการออกกำลังกายที่ไม่หนักหน่วงเกินไป เหมาะกับวัย เช่น โยคะ ไทชิ ว่ายน้ำ เดิน อาจปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย 
  • มีกิจกรรมประจำวัน เช่น ทำงานบ้าน ทำสวน เดินซื้อของ ท่องเที่ยว เป็นต้น

6. ดูแลให้นอนหลับอย่างพอเพียง 

  • แนะนำให้งดใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ใกล้เวลานอน  และใช้เตียงสำหรับนอนเท่านั้น
  • ให้เข้านอนและตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวัน 
  • หากิจกรรมให้ทำระหว่างวัน หากงีบหลับไม่ควรเกิน 30 นาที และควรงีบก่อนเวลา 15.00 น. 
  • เลี่ยงการดื่มคาเฟอีน ชา กาแฟ ในช่วงบายหรือเย็น
  • ตรวจดูสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการนอน ควรเงียบ ไม่มีแสงสว่างรบกวน อุณภูมิพอเหมาะที่ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลายหลับง่าย ที่นอนไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป 
  • หาสาเหตุนอนไม่หลับ เช่น การกินยาบางประเภท ความวิตกกังวล เข้าห้องน้ำบ่อย แก้ไขที่สาเหตุก่อน หรือมีปัญหาทางร่างกาย เช่น  นอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ โรคขาอยู่ไม่สุข ควรปรึกษาแพทย์

7. ปรับบ้านให้เหมาะกับการใช้ชีวิต

  • มีความปลอดภัย จัดการแก้ไขในจุดที่อาจเป็นอันตราย เช่น แสงสว่างพอเพียง โดยเฉพาะบริเวณบันได พื้นต้องไม่ลื่น ไม่วางสิ่งของเกะกะหรือใช้เครื่องเรือนที่สะดุดล้มง่าย มีราวจับในห้องน้ำ เป็นต้น 
  • ใช้งานสะดวกดูแลง่าย ดูแลให้ตำแหน่งของการใช้งานจุดต่าง ๆ เข้าถึงง่าย เช่น สวิตช์ไฟ ก๊อกน้ำ อุปกรณ์การใช้งานหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ง่ายไม่ซับซ้อน  
  • บรรยากาศสดชื่นผ่อนคลาย มีมุมพักผ่อนสบาย ๆ หรือปลูกต้นไม้ดูแลง่ายหน้าบ้านหรือบริเวณรอบบ้าน 

8. ดูแลสมองและจิตใจ

  • อย่าปล่อยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างเหงาหงอยเบื่อหน่าย หาเวลาอยู่ร่วมกัน  โทรศัพท์ วิดิโอคอลติดต่อกันเป็นประจำ มีกิจกรรมทำร่วมกัน รับประทานอาหาร ทำอาหาร ออกกำลังกาย  ท่องเที่ยว ดูหนัง ชอปปิง ร้องเพลง เต้นรำ ทำสวน ทำงานประดิษฐ์หรืองานศิลปะ เป็นต้น 
  • เมื่อผู้สูงอายุมีความเครียด พร้อมรับฟังปัญหา ช่วยคลี่คลาย หรือชวนทำกิจกรรมผ่อนคลายจิตใจ 
  • ให้ผู้สูงอายุมีสังคม เช่น การพบปะคนในครอบครัว เพื่อนฝูง เข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมตามความสนใจ เช่น ดนตรี อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ทำงานศิลปะ  หรือเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่นหรือให้ความรู้ตามความสามารถเดิมที่มี  
  • ระวังการใช้ยาที่มีผลต่อสมองและความจำ เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาแก้แพ้บางประเภท   ยาลดกรดและยาคลายกล้ามเนื้อบางประเภท และยารักษาโรคจิตยกเว้นในกรณีมีข้อข่งชี้ในการใช้ เช่น ปัญหาพฤติกรรมรุนแรง

ชวนพ่อแม่ตรวจสุขภาพประจำปี

การตรวจสุขภาพประจำปีคือการคัดกรองโรค หากพบเร็วจะได้รับการรักษาทันท่วงที ก่อนที่สุขภาพร่างกายจะถูกโรคทำร้ายรุนแรง ในปัจจุบันการตรวจสุขภาพประจำปีมีหลายโปรแกรมให้เลือก ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการตรวจดังต่อไปนี้ 

  • ตรวจสุขภาพทั่วไปโดยแพทย์
  • ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • น้ำตาลในเลือด
  • ไขมันในเลือด 
  • ตรวจการทำงานของตับ
  • ตรวจการทำงานของไต
  • ระดับกรดยูริค
  • ตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจอุจจาระ
  • ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์
  • ตรวจการทำงานของหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้า
  • เอกซเรย์ปอดและหัวใจ
  • ตรวจอวัยวะในช่องท้องทั้งหมดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
  • ตรวจมะเร็งเต้านมและอัลตร้าซาวด์เต้านม (ผู้หญิง)
  • ตรวจภายในและตรวจมะเร็งปากมดลูก (ผู้หญิง)

การดูแลสุขภาพของคุณพ่อสูงวัย โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ทั้งความดันโลหิตสูง อ้วน เบาหวาน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของปวดหลัง ปวดเอว ไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ซึ่งปัญหาสุขภาพในวัยสูงอายุเหล่านี้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพและดำเนินชีวิตในสังคมยากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้น มีสุขภาพแข็งแรง ชะลอการเกิดโรค ไม่เป็นภาระของบุตรหลาน ช่วยเหลือตนเองได้ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ

ข้อแนะนำการดูแลสุขภาพคุณพ่อสูงวัย

  • ดูแลให้คุณพ่อพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6- 8 ชั่วโมง

  • ดูแลสุขภาพฟัน ช่องปากอยู่เสมอ

  • แนะนำหรือจัดให้ท่านรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม

  • ออกกำลังกายตามความเหมาะสมของวัย หลีกเลี่ยงการออกกําลังกายที่มีแรงกระแทก เช่นการกระโดด การเดินขึ้นลงบันไดที่สูงมากๆ ความเร็วสูงหรือเปลี่ยนทิศทางเพราะจะหกล้มได้ง่าย

  • ให้ท่านได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนบ้านเพื่อไม่ให้ท่านรู้สึกโดดเดี่ยว

  • ทำให้ท่านรู้สึกมีคุณค่า ไม่เป็นภาระของลูกหลาน

  • พาท่านไปตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

อ้างอิง: caregiverthai