ไทยชู GWS 2026 เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ตั้งเป้าปลดล็อกมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท

การที่ประเทศไทยได้รับมอบสิทธิให้เป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมสุดยอดเวลเนสระดับโลก หรือ‘Global Wellness Summit 2026’ (GWS 2026) ที่ จ.ภูเก็ต ในเดือนพ.ย.2569
KEY
POINTS
- เป้าหมายคือการให้ผู้บริหาร กลับไปพร้อมความประทับใจ และเกิดดีลธุรกิจจริงที่ต่อยอดสู่การลงทุนสร้าง Phuket Wellness Ecosystem ที่ยั่งยืน
- 3 มิติขับเคลื่อนGlobal Wellness Hub ได้แก่ 1. พัฒนา “Thai Wellness Signature”ของแต่ละพื้นที่สู่มาตรฐานโลก 2.สร้าง “Thai Wellness Route”เชื่อมโยงจุดหมายทั่วประเทศ และ 3.ขยายผลผลิตภัณฑ์และบริการสู่ตลาดโลก
- จุดเริ่มต้นของการยกระดับประเทศไทยสู่บทบาทผู้นำด้านเวลเนสของโลกไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์ แต่คือการ“ประกาศศักราชใหม่”ของเศรษฐกิจไทย
การที่ประเทศไทยได้รับมอบสิทธิให้เป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมสุดยอดเวลเนสระดับโลก หรือ‘Global Wellness Summit 2026’ (GWS 2026) ที่ จ.ภูเก็ต ในเดือนพ.ย.2569 โดยมีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) - สสปน. (TCEB) ร่วมกับจ.ภูเก็ตเป็นผู้ผลักดัน เป็นมากกว่า“ยุทธศาสตร์”การจัดงานประชุมระดับนานาชาติ เพราะคือ“หมุดหมายเชิงสัญลักษณ์”ที่ประเทศไทยต้องการประกาศว่า “ภูเก็ต” เป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนเวลเนสระดับโลกและผู้คนจากทั่วโลกที่ต้องการใช้ชีวิตสุขภาพดีในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ
ดร.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ “ภูเก็ต”ได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงานประชุมสุดยอดเวลเนสระดับโลก หรือ‘Global Wellness Summit 2026’ (GWS 2026)ครั้งนี้ คาดว่าจะพบว่าเม็ดเงินสะพัดในระยะสั้นไม่น้อยกว่า 324 ล้านบาท จากผู้เข้าร่วมงานระดับผู้นำกว่า 500-600 คนจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก จะก่อให้เกิด“ผลเชิงทวีคูณทางเศรษฐกิจ” (Economic Multiplier Effect)กระจายไปสู่ภาคบริการระดับพรีเมียม ธุรกิจ MICE และผู้ประกอบการท้องถิ่น สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้านเวลเนสและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรวมกว่า 10,000 ล้านบาทภายในปี 2569
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'Longevity' สุขภาพยั่งยืนมีคุณภาพ ความมั่นคงแบบใหม่ของทุกวัย
'โรคอ้วน' เสี่ยง 'สมองแก่ก่อนวัย' ดูแลสมอง ไม่ใช่เรื่องของคนแก่
เวลเนสไทย สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม
อุตสาหกรรมเวลเนสกำลังถูกยกระดับจากธุรกิจบริการให้กลายเป็น “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่” (New S-Curve)ของประเทศได้ ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่จุดยุทธศาสตร์นี้ได้สำเร็จมาจากรากฐานมาจาก“สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม”ที่เป็นเอกลักษณ์นำมาต่อยอดและพัฒนาจนได้รับการยอมรับในระดับสากล ประกอบด้วย ภูมิปัญญาการนวดไทย ศาสตร์การดูแลสุขภาพที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก สมุนไพรไทย ขุมทรัพย์ทางธรรมชาติที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพและยา ศาสตร์การแพทย์แผนไทย องค์ความรู้ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
GWS 2026โอกาสทองผู้ประกอบการ
อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ด้านเวลเนสของไทยสอดรับกับเมกะเทรนด์ของผู้บริโภคยุค‘Longevity’ทั่วโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการเพียงอายุขัยที่ยืนยาว (Lifespan) แต่โหยหาการมีช่วงชีวิตที่สุขภาพดี (Healthspan) ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมตอบสนองอย่างครบวงจร ดังนั้น การประชุม GWS 2026 จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงศักยภาพ แต่เป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะได้เชื่อมต่อโดยตรงกับนักลงทุน ผู้นำในอุตสาหกรรม และผู้ซื้อจากทั่วโลก เพื่อสร้างความร่วมมือและต่อยอดนวัตกรรมทางธุรกิจ ถือเป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน
การเลือกภูเก็ตเป็น Host Destination ของ GWS 2026 เนื่องจากเป็น “Living Laboratory” of Global Wellness ที่สามารถผสานธรรมชาติระดับโลก (ทะเล, ภูเขา) เข้ากับระบบบริการสุขภาพมาตรฐานสากล และวัฒนธรรมไทย ทำให้เป็นพื้นที่ทดลองและแสดงผลงานของนโยบายและนวัตกรรมเวลเนส (เช่น Longevity Program, Thai Healing Experience) ผู้บริหารระดับโลกจะสามารถ“สัมผัสจริง”และทดลองใช้ชีวิตสุขภาพดีในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ
สร้าง Ultra-Premium Experience เฉพาะกลุ่ม CEOs/Founders ด้วยการเตรียม Private Wellness Route และ Luxury Wellness Journey ที่เชื่อมโยงโรงแรม 5 ดาว, รีสอร์ตเวลเนส, โรงพยาบาล, และอาหารสุขภาพไทย เพื่อให้เกิดประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่น่าจดจำ
ผู้บริหารประทับใจเกิดดีลธุรกิจต่อยอดลงทุน
“เป้าหมายคือการให้ผู้บริหาร”กลับไปพร้อมความประทับใจ“และเกิดดีลธุรกิจจริงที่ต่อยอดสู่การลงทุน สร้าง “Phuket Wellness Ecosystem” ที่ยั่งยืน จะใช้ GWS 2026 เป็นเวทีขยายการลงทุนด้านคลินิกชะลอวัย, Wellness Residential และนวัตกรรมเทคโนโลยีสุขภาพ เพื่อให้ทุกองค์ประกอบสร้างระบบเศรษฐกิจสุขภาพของภูเก็ตที่ครบวงจร (Ecosystem) และยั่งยืนต่อเนื่องผ่านแผนการตลาดเชิงรุก 2024-2026 ทำให้ภูเก็ตกลายเป็นจุดหมายปลายทางเวลเนสระดับโลกอย่างแท้จริง”
ดร.นพ.พงศธร กล่าวว่าหัวใจของการเป็น Global Wellness Hub ของประเทศไทย ไม่ได้มองเฉพาะภูเก็ต แต่ต้องการยกระดับทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพสู่ตลาดโลก โดยมี 3 มิติในการขับเคลื่อน
1.พัฒนา “Thai Wellness Signature”ของแต่ละพื้นที่สู่มาตรฐานโลก ยกระดับความหลากหลายของภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็น Wellness Signature ที่มีมาตรฐานและมีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง‘Beauty Hot Spring’ จากน้ำพุร้อนสันกำแพง จ.เชียงใหม่ และน้ำพุร้อนคลองท่อม จ.กระบี่ ซึ่งมีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับคุณสมบัติในการบำบัดดูแลผู้เป็นเบาหวาน แผลเบาหวาน และการลดความดันโลหิต โดยพัฒนาให้จังหวัดเหล่านี้มีมาตรฐานบริการ/สูตรการบำบัดที่อิงภูมิปัญญาท้องถิ่น
2.สร้าง “Thai Wellness Route”เชื่อมโยงจุดหมายทั่วประเทศ สร้างเครือข่ายเส้นทางเวลเนสระดับประเทศ เช่น เส้นทางน้ำพุร้อน-เทอร์มอลเวลเนส, เส้นทางนวดไทย-การแพทย์แผนไทย, และเส้นทาง Healthy Aging & Longevity Retreat โดยจะเชื่อมพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสำคัญเข้ากับผู้ประกอบการและชุมชน เพื่อร่วมกันสร้าง“แบรนด์เวลเนสไทย”ที่เติบโตไปด้วยกัน
3.ขยายผลผลิตภัณฑ์และบริการสู่ตลาดโลก ผ่านเวทีสำคัญระดับชาติ ก่อนจะถึงเวที GWS 2026 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีแผนจัดงาน “มหกรรมนวดไทยและเวลเนสแห่งชาติ ครั้งที่ 1” ขึ้น ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ในราวเดือนส.ค. 2569 ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการอุ่นเครื่องและเตรียมความพร้อมเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการจากจังหวัดต่างๆ สู่สาธารณชนในประเทศและต่างชาติ และจะใช้ GWS 2026 เป็น Global Launchpad เพื่อนำผลิตภัณฑ์และบริการที่ผ่านการทดสอบตลาดแล้ว ขยายไปสู่ตลาดโลกแบบมีคุณภาพและมีมูลค่าเพิ่มสูง
"การได้รับสิทธิครั้งนี้คือ“จุดเริ่มต้นของการยกระดับประเทศไทยสู่บทบาทผู้นำด้านเวลเนสของโลกไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์ แต่คือการ“ประกาศศักราชใหม่”ของเศรษฐกิจไทย ที่ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นขุมทรัพย์ที่สร้างความมั่งคั่งและความภาคภูมิใจให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืนบนเวทีโลก ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เตรียมจัดมหกรรมนวดไทยและเวลเนสแห่งชาติครั้งที่ 1“ในเดือนส.ค 2569 และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงภูมิปัญญาใน 11 จังหวัดท่องเที่ยวหลักเพื่อรองรับตลาดพรีเมียมโดยเฉพาะ ทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนมรดกทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่ตอบโจทย์แนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ทั่วโลกได้อย่างตรงจุด”







