อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว ความหวังส่งยาแม่นยำ รักษา NCDs ตรงจุด

อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว ความหวังส่งยาแม่นยำ รักษา NCDs ตรงจุด

ประเทศไทยพบจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 75%

KEY

POINTS

  • อนุภาคนาโนไขมันไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่ช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงในอนาคต
  • นวัตกรรมอนุภาคนาโนไขมันที่ดัดแปลงพื้นผิวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด ลดผลข้างเคียงของยา และช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น
  • ถ้าประเทศพัฒนานวัตกรรมได้เอง จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น

ประเทศไทยพบจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 75% ของผู้เสียชีวิตต่อปี นอกจากนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยประชากรกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค NCDs ได้ง่าย ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับกลุ่มโรค NCDs เป็นโจทย์สำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น

ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เช่น มะเร็ง สมองเสื่อม เบาหวาน ไขมันและหลอดเลือด เป็นปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของทั้งหมดหรือประมาณ 41 ล้านคนต่อปี 

ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ  ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 จัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศสู่ความยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ได้ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

BDMS Wellness Clinic ดันไทยท็อป5-ศูนย์กลางWellness Hubโลก

เช็กเลย! ทำไม? 'อ้วนง่าย ผอมยาก' คุมอาหารแล้วแต่น้ำหนักไม่ลง

แก้ปัญหา ยาดูดซึมได้ไม่ดี

ปัจจุบันการรักษาโรคในกลุ่ม NCDs แบบเดิมยังมีข้อจำกัดมาก เช่น ยาดูดซึมได้ไม่ดี มีการกระจายไปทั่วร่างกายแบบไม่จำเพาะ ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัวยาสำคัญเกิดการสลายตัวในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่จำเพาะเจาะจง นอกจากนี้ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์บางตัวที่ไวต่อสภาพแวดล้อม เช่น เพปไทด์หรือสารสมุนไพร มักเสื่อมสลายง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง ที่สำคัญผู้ป่วยบางรายมีโรคร่วมหลายอย่าง ทำให้ต้องรับประทานยาจำนวนมาก 

ดร.มัตถกา เปิดเผยว่า การนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้พัฒนาระบบนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง คือหนทางควบคุมการปลดปล่อยยาได้ตรงจุด เพิ่มเสถียรภาพของยา และช่วยให้ยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยนาโนเทคทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปีในการพัฒนา “อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)” โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้นๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี

อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว ความหวังส่งยาแม่นยำ รักษา NCDs ตรงจุด

ลดผลข้างเคียงคุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น

ปัจจุบันอนุภาคนาโนไขมันที่ออกแบบมีความจำเพาะกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคทางระบบประสาทเสื่อม มะเร็ง การอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมันช่องท้องและในเลือด รวมถึงความชราของผิวหนัง และอื่น ๆ

“ยกตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องให้ยาคีโมซึ่งปัจจุบันยาคีโมมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติอย่างไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาคีโมไปทำลายเซลล์รากผมหรือเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงหรืออาเจียน"

ดังนั้นหากใช้อนุภาคนาโนไขมันนำส่งยาไปยังเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง จะช่วยลดผลข้างเคียงและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยก็ดีขึ้น หรือในกรณีผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มโรค NCDs ที่มักมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไตวายเรื้อรัง อาจต้องรับประทานยาปริมาณมาก ขณะที่ยาเหล่านั้นอาจออกฤทธิ์แค่ 10-20% เท่านั้น การใช้อนุภาคนาโนไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สามารถลดปริมาณยาและลดการได้รับผลข้างเคียงจากยา ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น

ขณะนี้เทคโนโลยีผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับ Pre-Clinic ในสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างต่อยอดการทดสอบทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีร่วมกับพันธมิตรและเครือข่าย ทั้งคณะเภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ หากได้ผลดีจะมีการทดสอบในอาสาสมัครที่มีแนวโน้มเป็นโรคในกลุ่ม NCDs และผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่ม NCDs ต่อไป โดยทีมวิจัยคาดว่าจะผลักดันเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปี

“การออกแบบการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแบบมุ่งเป้าด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บยาหรือสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในอนุภาคนาโนไขมันที่ดัดแปลงพื้นผิวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด ลดผลข้างเคียงของยา และช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญหากประเทศพัฒนานวัตกรรมได้เอง จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น”

นำไปใช้ผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอนุภาคนาโนที่ ดร.มัตถกา พัฒนาขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีแผนนำไปใช้ในเชิงเวชศาสตร์ป้องกันในด้านการชะลอและป้องกันการเกิดโรค NCDs รวมถึงประยุกต์ใช้ในการกักเก็บสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย

อนุภาคนาโนไขมันที่พัฒนาขึ้นยังใช้กักเก็บสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive) จากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในเรื่องการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคในกลุ่ม NCDs รวมถึงกักเก็บสารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำอนุภาคนาโนไขมันไปใช้กักเก็บสารสกัดกระชายดำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และปัจจุบันสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกระชายดำในเชิงเวชสำอางและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว 

ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของผลงานวิจัยภายใต้แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทยเพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (PhytoEX) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในมิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย และสอดรับกับแผนนโยบายประเทศในการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

ดร.มัตถกากล่าวว่าอนุภาคนาโนไขมันไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่ช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงในอนาคต จากผลงานที่ตอบโจทย์หรือสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้จริง เป็นสิ่งที่ยืนยันหรือสะท้อนให้เห็นว่า งานวิจัยและแผนกลยุทธ์ที่ สวทช. ผลักดันนั้นมาถูกทาง และสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้จริง

วางแผนวิจัยต่อยอดในกลุ่มโรคติดเชื้อ

“ปัจจุบันพยายามผลักดันอนุภาคนาโนไขมันเพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากสมุนไพร และยาสมุนไพรให้สำเร็จ รวมทั้งวางแผนวิจัยต่อยอดในกลุ่มโรคติดเชื้อ เพราะทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยามากขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายสูงสุดของการทำวิจัยที่มุ่งหวังไว้คือให้คนไทยได้ใช้นวัตกรรมแล้วมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนี้ยังมีผลงานพัฒนา “วัคซีนต้นแบบป้องกันโรคASF” หนึ่งในแผนงานการพัฒนา “วัคซีนสัตว์” ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand  ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 ด้วยเช่นกัน

โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ African Swine Fever (ASF) เป็นโรคระบาดรุนแรงในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัส African swine fever virus (ASFV) พบระบาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2565 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทย โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้เกษตรกรจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม ขาดรายได้ และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องประสบปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง รวมถึงการนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคหูดับ หากมีการบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงไม่สุก

“ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่าวัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70-100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรงขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป”

การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF และการวิจัยพัฒนาวัคซีนสัตว์อื่นๆ ในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือและผลักดันจากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และบริบทของกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตวัคซีนสัตว์ที่มีมาตรฐานสากลและการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะทำให้ทีมวิจัยสามารถต่อยอดจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมได้ เป็นความหวังที่อยากให้เกิดการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันในภูมิภาคได้